แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 74
1
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


2
จัดฟันบางนา: ฟันตาย สัญญาณอันตรายของช่องปากที่ไม่ควรมองข้าม

ฟัน เป็นอวัยวะหนึ่งภายในช่องปากของเรา ที่มีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยง โดยเส้นประสาทจะทำหน้าที่รับความรู้สึก เสียวฟัน เจ็บฟัน เส้นเลือดจะนำอาหารมาเลี้ยงฟัน หากเกิดอันตรายกระทบกระแทกกับฟัน หรือมีฟันผุถึงโพรงประสาทฟัน ฟันอาจเกิดการกระทบกระเทือนจนเซลล์ต่างๆ สูญเสียการทำหน้าที่ไปในภาษาทั่วไป เรียก ฟันตาย ซึ่งอาการฟันตายนั้น หลายคนอาจจะยังไม่เคยได้ยินมาก่อน

แต่อาการฟันตายนั้น ถือเป็นสัญญาณอันตรายต่อช่องปากมากที่เราไม่ควรมองข้าม โยอาการฟันตายนั้นจะมีอาการที่สักเกตได้คือ ฟันเปลี่ยนสี มีสีที่คล้ำขึ้น มีตุ่มหนองที่เหงือก เหงือกบวมหรือกดเจ็บบริเวณปลายรากฟัน มีอาการบดเคี้ยวแล้วรู้สึกเจ็บ ซึ่งเกิดจากอาการอักเสบรอบปลายรากฟัน และถ้าหากเราเคยมีอาการเสียวฟันมากๆ เมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น ดื่มน้ำร้อนหรือน้ำเย็น แต่อยู่ๆ ก็ไม่รู้สึก อาจเป็นสัญญาณของฟันตายได้ โดยการรักษาอาการฟันตายอาจจะทำได้ด้วยการรักษารากฟัน หรือบางรายอาจจะต้องเข้ารับการถอนฟัน กรณีที่ฟันซี่นั้นไม่สามารถบูรณะได้ หรือเข้ารับการรักษามีความต้องการที่ถอนฟันซี่นั้น

โดยสาเหตุของการเกิดอาการฟันตายนั้น เกิดได้จาดหลายสาเหตุ แน่นอนว่าสาเหตุแรกและมักพบได้บ่อยเลยก็คือ ฟันผุ จนถึงโพรงประสาทฟันและไม่ได้รับการรักษาทำให้ แบคทีเรียสามารถเข้าไปทำอันตรายต่อเส้นเลือดและเส้นประสาทฟันจนเน่าทำให้ฟันตายได้ หรือฟันอาจจะถูกกระทบกระแทกอย่างแรงจากอุบัติเหตุ แรงที่กระแทกที่ฟันอย่างทันทีและอย่างแรง จะส่งผลให้โพรงประสาทฟันอาจช้ำจนฟันตายได้นั่นเอง

นอกจากนี้ การใช้ฟันผิดประเภท โดยปกติการบดเคี้ยวอาหารธรรมดาทั่วๆ ไปก็ไม่มีปัญหาแต่บางท่านใช้ฟันในการกัดของแข็งมากๆ เช่น ใช้ฟันเปิดฝาขวดเบียร์ กัดเปลือกผลไม้แข็งๆ ใช้ฟันกัดเปลือกปู ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้น ทำให้มีโอกาสทำให้ฟันแตกร้าว ทำให้ฟันตายได้ และอาจจะเกิดจากปัญหาฟันที่มีการสบฟันผิดปกติ เช่น ฟันล้ม ฟันเก เวลาสบฟันมีจุดสูงทำให้ฟันกระแทกบริเวณจุดเดิมเป็นประจำ ฟันซี่นั้นได้รับความกระทบกระเทือนอย่างต่อเนื่อง จนมีการเสื่อมสลายของเส้นเลือดและเส้นประสาท ก็ทำให้ฟันตายได้นั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าหากเรามีความเสี่ยงหรือสังเกตอาการที่กล่าวมาข้างต้น หรือมีสาเหตุที่เสี่ยงต่อการเกิดฟันได้ก็ควรที่เข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการรักษา เพราะถ้าหากปล่อยไว้ และละเลยสุขภาพช่องปากและฟันของเราแล้ว อาจจะทำให้เกิดปัญหาบริเวณฟันข้างเคียงได้

สำหรับวิธีการรักษาอาการฟันตายนั้น มีความจำเป็นจะต้องเข้ารับการรักษารากฟันหรือไม่ให้ฟันซี่นั้นเป็นแหล่งแพร่เชื้อ เพื่อเก็บฟันซี่นั้นให้ใช้บดเคี้ยวอาหารต่อไปได้ และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงต่อกระดูกรองรับรากฟันและฟันซี่ข้างเคียง แต่ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุโดยทำให้ฟันได้รับการกระทบกระแทกอย่างรุนแรง ควรให้ทันตแพทย์ตรวจ X-RAY และวินิจฉัย ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของปัญหาที่จะลุกลามทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมา และที่สำคัญมากที่สุดคือ เราควรหมั่นดูแล เอาใจใส่ในเรื่องของความสะอาดและสุขอนามัยในช่องปากและฟันให้ดี อย่าให้มีเชื้อโรคสะสมด้วยการแปรงฟันให้สะอาด ใช้ไหมขัดฟันและอมน้ำยาบ้วนปากเป็นประจำ

อย่างไรก็ตาม ทางคลินิกอยากให้ทุกคนหันมาดูแลและเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและหันที่ดี เพราะการที่เรามีสุขภาพฟันที่ดี เป็นปัจจัยสำคัญของการที่เราจะมีบุคลิกภาพที่ดี ทำให้เรารู้สึกมั่นใจในการเข้าสังคม พบปะผู้คน และยังทำให้เป็นที่น่าประทับใจอีกด้วย หากใครมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน สามารถขอรับคำแนะนำจากทางคลินิกได้ ทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านของการทันตกรรม มีบริการเกี่ยวกับทันตกรรมอย่างครบวงจร ช่วยให้คุณมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน สามารถทำให้คุณได้ใช้ชีวิตประจำวันอย่างเต็มที่

3
บอร์ดโพสเว็บบอร์ดsmf / Doctor At Home: ฝีในสมอง (Brain Abscess)
« เมื่อ: วันที่ 13 ตุลาคม 2025, 16:19:07 น. »
Doctor At Home: ฝีในสมอง (Brain Abscess)

ฝีในสมอง (Brain Abscess) คือ ภาวะติดเชื้อร้ายแรงที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อสมอง ทำให้เกิดการสะสมของหนองและเซลล์อักเสบจนกลายเป็นก้อนหนองที่มีขอบเขตชัดเจน ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ (Medical Emergency) ที่ต้องได้รับการรักษาทันที เพราะขนาดของฝีที่โตขึ้นจะทำให้เกิดแรงกดดันต่อสมองและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือทำให้เกิดความพิการถาวรได้


1. สาเหตุของการเกิดฝีในสมอง

ฝีในสมองมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่เดินทางเข้าสู่สมอง โดยแหล่งกำเนิดเชื้อที่พบบ่อย ได้แก่:

การแพร่กระจายจากอวัยวะข้างเคียง: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เช่น

หูชั้นกลางอักเสบ หรือโพรงกระดูกมาสตอยด์อักเสบ

ไซนัสอักเสบเรื้อรัง

ฟันผุ หรือรากฟันเป็นหนอง

การแพร่กระจายผ่านกระแสเลือด: เชื้อโรคจากแหล่งติดเชื้ออื่น ๆ ในร่างกายกระจายตัวไปตามกระแสเลือดจนเข้าสู่สมอง เช่น

การติดเชื้อในปอด (ปอดอักเสบ)

เยื่อบุหัวใจอักเสบ

การติดเชื้อที่ผิวหนังหรือในช่องท้อง

การติดเชื้อโดยตรง: เกิดจากบาดแผลที่ศีรษะ (ศีรษะแตก) หรือหลังการผ่าตัดสมอง

ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ (เช่น ผู้ป่วยเอดส์) อาจเกิดฝีในสมองจากเชื้อปรสิต (Toxoplasma gondii) หรือเชื้อราได้


2. อาการของฝีในสมอง

อาการมักจะเริ่มอย่างช้า ๆ แต่บางรายก็อาจเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน อาการจะขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของฝีที่กดทับสมองส่วนต่าง ๆ

กลุ่มอาการ                                             ลักษณะอาการที่พบบ่อย
อาการทั่วไป/แรงดันในสมอง   ปวดศีรษะรุนแรง และต่อเนื่อง (มักเป็นอาการหลัก), คลื่นไส้ อาเจียน, คอแข็งเกร็ง, มีไข้ (แต่บางรายอาจไม่มีไข้)
อาการทางระบบประสาท           แขนขาอ่อนแรง หรือเป็นอัมพาตครึ่งซีก, มีปัญหาในการพูด (พูดไม่ชัด), สูญเสียการทรงตัว
อาการทางสติปัญญา           สับสน, การคิดช้าลง, ตอบสนองช้า, หงุดหงิดง่าย, ซึมลง หรือความรู้สึกตัวลดลง
อาการเฉพาะ   อาการชัก            (โดยเฉพาะหากไม่เคยมีประวัติชักมาก่อน), การมองเห็นเปลี่ยนไป (เช่น ตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน)

ส่งออกไปยังชีต
คำเตือน: หากมีอาการปวดศีรษะรุนแรงร่วมกับมีไข้ หรือมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท ควรไปพบแพทย์ฉุกเฉินทันที


3. การวินิจฉัยและการรักษา

การรักษาฝีในสมองต้องทำในโรงพยาบาลและอาศัยการทำงานร่วมกันของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา

การวินิจฉัย
การตรวจภาพถ่ายรังสี: ใช้ CT Scan (เอกซเรย์คอมพิวเตอร์) หรือ MRI (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) เป็นหลัก เพื่อยืนยันตำแหน่ง ขนาด และจำนวนของฝี

การเจาะดูดหนอง: แพทย์อาจใช้ CT Scan นำทางในการเจาะดูดหนองเพื่อนำไปตรวจหาชนิดของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดฝี


การรักษา

การให้ยาปฏิชีวนะ/ยาฆ่าเชื้อรา (Medication):

จะเริ่มให้ยาทางหลอดเลือดดำทันที แม้จะยังไม่ทราบชนิดของเชื้อ

เมื่อทราบผลการเพาะเชื้อแล้ว แพทย์จะปรับยาให้เหมาะสมกับชนิดของเชื้อนั้น ๆ

การให้ยามักต้องใช้เวลานาน 4-8 สัปดาห์ หรือมากกว่า


การผ่าตัด (Surgery):

การเจาะดูดหนอง (Aspiration): ใช้เข็มเจาะผ่านกะโหลกศีรษะเพื่อดูดหนองออก ลดแรงดันในสมอง และเก็บตัวอย่างเชื้อ

การผ่าตัดเปิดกะโหลก (Craniotomy): ในกรณีที่ฝีมีขนาดใหญ่มาก หรืออยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถเจาะดูดได้ แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเพื่อนำฝีออกทั้งหมด

การรักษาควบคู่กัน: ในหลายกรณี แพทย์จะใช้การให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการผ่าตัดระบายหนอง เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด

4
ขับรถฤดูฝน ต้องเตรียมตัวอย่างไร? กับ รถรับจ้างขนย้ายบ้าน นนทบุรี

ฤดูฝน เป็นฤดูที่ต้องบอกเป็นช่วงเวลาที่มีความยากลำบากในการเดินทาง รวมถึงการขับขี่ที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษมากกว่าช่วงเวลาปกติค่ะ ถึงแม้คุณเองจะชำนาญด้านการขับรถตาม เป็นเพราะอะไรนั้นเราจะอธิบายอย่างนี้นะคะ ในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะในวันที่ฝนตก ทำให้ถนนจะลื่นกว่าวันปกติ อีกทั้งยังทัศนวิสัยลดลง และมีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุเพิ่มขึ้น ดังนั้น รถรับจ้างนนทบุรี จะมาพูดถึงการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางในวันที่ฝนตกกันค่ะ นี่คือแนวทางที่ควรปฏิบัติเมื่อต้องขับรถในช่วงฤดูฝน

   
ตรวจสอบสภาพรถก่อนออกเดินทาง

สิ่งแรกที่เราต้องคำนึงนั่นคือ รถ ที่เราจะใช้สัญจร รถรับจ้างนนทบุรี แน่นอนว่าต้องมีการตรวจสภาพรถก่อนออกเดินทางทุกครั้ง โดยเฉพาะการเดินทางในวันที่ฝนตกค่ะ เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบ ยางรถยนต์ ควรตรวจสอบดอกยางและแรงดันลมยางให้เหมาะสม หากดอกยางสึกหรอ อาจทำให้รถลื่นและควบคุมได้ยาก ซึ่งมีผลต่อความปลอดภัยค่ะ ที่ปัดน้ำฝน ควรตรวจสอบว่าสามารถปัดน้ำได้ดีหรือไม่ หากใบปัดเสื่อมสภาพควรเปลี่ยนใหม่ ไฟส่องสว่าง ตรวจสอบไฟหน้า ไฟท้าย และไฟตัดหมอกให้พร้อมใช้งานเสมอ และที่สำคัญ ระบบเบรกต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ควรเช็กน้ำมันเบรกและการทำงานของเบรกให้มั่นใจว่าปลอดภัยค่ะ ทั้งหมดนี้เป็นการตรวจเช็คพื้นฐานก่อนการใช้รถในการสัญจรไป-มา ค่ะ

   
ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง

เข้าใจดีว่าสำหรับใครที่ใช้รถในชีวิตประจำนั้นไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการขับรถในวันที่ฝนตกได้ รถรับจ้างนนทบุรี แต่การขับขี่ด้วยความระมัดระวังก็ทำให้เราปลอดภัยจากเหตุไม่คาดคิดได้ค่ะ มาดูกันค่ะว่าในวันที่ฝนตกเราจะขับรถยังไงเพื่อให้ปลอดภัย

    ลดความเร็ว : การขับรถเร็วในช่วงฝนอาจทำให้เกิดอาการเหินน้ำ (Hydroplaning) ซึ่งทำให้รถเสียการควบคุม
    เพิ่มระยะห่างจากคันหน้า : ถนนเปียกทำให้ระยะเบรกยาวขึ้น ควรเว้นระยะห่างมากกว่าปกติ
    เปิดไฟหน้า : แม้ในช่วงกลางวัน การเปิดไฟหน้าจะช่วยเพิ่มการมองเห็นและทำให้รถคันอื่นสังเกตเห็นรถของคุณได้ง่ายขึ้น
    ใช้เกียร์ต่ำในทางลาดชัน : หากต้องขับขึ้นลงทางลาดชัน ควรใช้เกียร์ต่ำเพื่อช่วยควบคุมความเร็ว

   
หลีกเลี่ยงเส้นทางน้ำท่วม

หากต้องขับผ่านบริเวณที่มีน้ำขังหรือน้ำท่วมขัง ควรตรวจสอบระดับน้ำก่อน หากสูงเกินกว่ากึ่งล้อ ไม่ควรขับผ่านเพราะอาจทำให้เครื่องยนต์ดับ น้ำท่วมอาจทำให้เครื่องยนต์ดูดน้ำเข้าไป ส่งผลให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อเครื่องยนต์ หากจำเป็นต้องขับผ่าน ควรใช้เกียร์ต่ำและรักษาความเร็วให้สม่ำเสมอเพื่อป้องกันน้ำเข้าท่อไอเสีย การเร่งเครื่องมากเกินไปอาจทำให้น้ำกระเด็นเข้าสู่เครื่องยนต์และระบบไฟฟ้าได้ ควรขับอย่างช้า ๆ และหลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหันเพื่อลดแรงกระแทกของน้ำ และหากน้ำเริ่มท่วมสูงขึ้น ควรหาที่จอดและรอให้ระดับน้ำลดลงก่อน เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อ รถ และ ต่อตัวคุณเองค่ะ

   
เตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉิน

สำหรับใครที่ต้องใช้รถในการสัญจรเป็นประจำ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ฉุกเฉิน เช่น ไฟฉาย สายพ่วงแบตเตอรี่ เครื่องมือซ่อมแซมเบื้องต้น และเบอร์โทรฉุกเฉินติดรถไว้เสมอ รถรับจ้างนนทบุรี กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินกลางทาง จะได้แก้ปัญหาเบื้องได้ และแน่นอนหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นควรเปิดไฟฉุกเฉินและหาที่ปลอดภัยในการจอดรถค่ะ

   
ใช้สติและไม่ประมาท

หลีกเลี่ยงการเร่งแซงบนถนนลื่น เพราะอาจทำให้รถเสียหลัก หากฝนตกหนักมากจนมองไม่เห็นทาง ควรหาที่ปลอดภัยเพื่อจอดรอจนฝนซาลงะค่ะ

การขับรถในช่วงฤดูฝนต้องอาศัยความระมัดระวังและการเตรียมตัวที่ดี เพื่อให้การเดินทางปลอดภัยทั้งต่อตัวคุณเองและผู้ใช้ถนนคนอื่น รถรับจ้างนนทบุรี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้คุณขับรถอย่างปลอดภัยในช่วงหน้าฝนได้ค่ะ

รถรับจ้างนนทบุรี บริการรถรับจ้างครบวงจร รถกระบะรับจ้าง รถสี่ล้อใหญ่รับจ้าง รถหกล้อรับจ้าง รถสิบล้อรับจ้าง รถเทรลเลอร์รับจ้าง รถเฮี๊ยบรับจ้าง หากต้องการให้เราช่วยเหลือติดต่อเราได้นะคะ ยินดีให้คำปรึกษาเรื่องการขนย้ายของทุกประเภท พร้อมบริการเรื่องการขนย้าย สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย เลือกใช้บริการ รถรับจ้างนนทบุรี

5
บอร์ดโพสเว็บบอร์ดsmf / การจัดฟันเด็ก แพงไหม
« เมื่อ: วันที่ 11 ตุลาคม 2025, 20:07:13 น. »
การจัดฟันเด็ก แพงไหม

การเข้ารับการจัดฟัน แน่นอนว่า เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เราก็มมักจะพบเจอกับคนที่สวมใส่เหล็กจัดฟัน เพราะนอกจากการจัดฟันจะช่วยในเรื่องของเสริมสร้างสุขภาพช่องปากและฟันแล้ว การเข้ารับการจัดฟันยังถือว่าเป็นเทรนยอดฮิตสำหรับวัยรุ่นด้วย แต่การเข้ารับการจัดฟันนั้น ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงในลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรับประทานอาหาร ซึ่งอาจจะทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารที่ชื่นชอบได้ หรือต้องเลือกรับประทานอาหารมากขึ้น เพราะอาหารบางอย่างส่งผลต่อเหล็กจัดฟันหรือเครื่องมือการจัดฟัน เพราะจะทำให้เครื่องมือการจัดฟันหลุดได้ขณะรับประทานอาหาร

และอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การทำความสะอาดช่องปากและฟัน เพราะผู้เข้ารับการจัดฟันบางคน อาจจะทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะมีเครื่องมือการจัดฟันแบบติดแน่นติดอยู่ภายในช่องปาก ซึ่งอาจจะทำให้ทำความสะอาดได้ยากกว่าปกติ และไม่ทั่วถึง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ ดังนั้น ก่อนเข้ารับการจัดฟันไม่ว่าจะรูปแบบใด ก็ควรศึกษารายละเอียดให้ดี หรือปรึกษาทันตแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองที่อยากจะพาบุตรหลานเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่ก็ยังมีความสงสัยในเรื่องของการปฏิบัติตัวระหว่างการจัดฟันในเด็ก ว่าควรที่จะปฏิบัติตัวอย่างไร และอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือ ในเรื่องของค่าใช้จ่ายในระหว่างการจัดฟันในเด้ก ว่า การจัดฟันนั้น ต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงค่าใช้จ่ายในการจัดฟันในเด็ก ซึ่งหลายคนอยากจะทราบว่า การเข้ารับการจัดฟันนั้น แพงหรือไม่ ต้องบอกก่อนว่า การเข้ารับการจัดฟันนั้น เป็นการรักษาที่ค่อนข้างจะใช้ระยะเวลานานพอสมควร ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับปัญหาฟันของเด็กแต่ละคนด้วย ยกตัวอย่างเช่น เด็กมีฟันผุ หรือมีปัญหาอื่นๆ ทันตแพทย์ก็จะทำการรักษาก่อนเพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหาในระหว่างการจัดฟัน ซึ่งค่าใช้จ่ายในการจัดฟันแน่นอนว่า หลายคนทราบกันดีว่า สามารถแบ่งจ่ายได้ แต่การลงทุนในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน แน่นอนว่าคุณจะได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อช่องปากและฟันอย่างแน่นอน ในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน อย่างที่เราบอกไปตั้งแต่ต้นว่า เป็นการรักษาที่ค่อนข้างใช้เวลานาน ก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัญหาฟันของแต่ละบุคคล ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการรักษาจึงไม่มีราคาตายตัว แต่ก็สามารถแบ่งจ่ายได้ ถึงแม้ว่าการจัดฟันในเด็ก อาจจะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ค่อนข้างสูง แต่บอกเลยว่า ผลการรักษาจะเป็นที่น่าพอใจอย่างแน่นอน ทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตของเด็กได้ด้วย ดังนั้น ในเรื่องของพัฒนาการของเด็ก บุคลิกภาพของเด็ก รอยยิ้มความมั่นใจของเด็ก เป็นสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะลงทุน เพื่อให้บุตรหลานของท่านได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจอยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกทางเรามีทันตแพทย์ที่คอยให้คำปรึกษา ซึ่งทันตแพทย์ของเรามีประสบการณ์ในด้นการจัดฟันมาอย่างยาวนาน มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรม นอกจากนี้ เรายังมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการจัดฟันในเด็ก เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับแนวทางของตัวเอง เพื่อที่จะได้รับบริการอย่างไม่กังวล เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนด้วย

6
รถขนของไปต่างจังหวัด รถกระบะกับหกล้อ ในจังหวัดอุดรธานี อันไหนหาง่ายกว่ากัน?

จังหวัดอุดรธานี เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีพื้นที่กว้างขวางและเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเกษตรกรรม การค้า และการขนส่ง ดังนั้นยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทางและขนส่งสินค้าจึงมีบทบาทสำคัญ ทางเราขออธิบายอย่างนี้นะคะ รถกระบะ และ รถบรรทุกหกล้อ เป็นยานพาหนะที่ได้รับความนิยมในพื้นที่นี้เป็นอย่างมาก แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว ลองมาดูกันว่ารถประเภทใดนั้นหาง่ายกว่ากันค่ะ

การใช้งานและความนิยม

1. รถกระบะ

รถกระบะเป็นที่นิยมมากในจังหวัดอุดรธานีค่ะ รถกระบะรับจ้างอุดรธานี เนื่องจากมีความคล่องตัวสูง อีกทั้งยังใช้งานได้หลากหลายประเภท ทั้งการบรรทุกสินค้าเพื่อการค้าและการเดินทางส่วนตัว ขนย้ายที่อยู่ บ้าน หอพัก รถกระบะรับจ้าง สามารถพบเห็นได้ทั่วไปทั้งในตัวเมืองและพื้นที่ชนบท ใช้ในการค้าขาย ขนย้ายสินค้าการเกษตร และใช้ในการเดินทางประจำวันค่ะ

2. รถหกล้อ

รถบรรทุกหกล้อ ถูกใช้สำหรับการขนส่งสินค้า ขนย้ายของ ในกรณีที่มีปริมาณมากๆ เช่น ผลผลิตทางการเกษตร วัสดุก่อสร้าง และสินค้าอุตสาหกรรม และใช้ในการขนย้ายบ้าน มีทั้งบุคคลทั่วไป และใช้งานโดยบริษัทขนส่งหรือผู้ประกอบการที่ต้องการบรรทุกสินค้าปริมาณมากๆ

   
ความสะดวกในการหาใช้งาน

สำหรับการหารถเพื่อที่จะมาใช้งาน หากเป็นการซื้อเพื่อมาใช้ส่วนตัว ไม่ว่าจะ รถกระบะ หรือ รถหกล้อ จะหาง่าย เพราะมีร้านจำหน่าย ศูนย์บริการ และตลาดรถมือสองอยู่ทั่วไป แต่หากเป็นการขนส่งสินค้า ขนย้ายของการติดต่อผู้ให้บริการขนส่งหรือเช่าใช้จากบริษัทที่มีให้บริการ รถกระบะอาจจะหาง่ายกว่า แต่หากต้องการใช้ รถหกล้อรับจ้างอุดรธานี อาจจำเป็นต้องจองบริการรถรับจ้างไว้ล่วงหน้าหลายๆ วัน ยิ่งเป็นพื้นที่ชนบทยิ่งต้องมีแผนสำรองไว้หลายๆทางค่ะ

โดยทั่วไปแล้ว รถกระบะรับจ้าง หาง่ายกว่า รถหกล้อรับจ้าง เนื่องจากมีการใช้งานที่แพร่หลายมากกว่า ทั้งในเมืองและชนบท อย่างไรก็ตาม หากต้องการขนส่งสินค้าปริมาณมาก รถหกล้อรับจ้าง ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่สำคัญ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการหามาใช้งานนานมากกว่ารถกระบะก็ตามค่ะ

   
เทคนิคการจองรถให้ได้ใช้รถตามวันเวลาที่กำหนด

การจอง รถรับจ้างอุดรธานี ให้ได้ใช้ตามวันเวลาที่ต้องการนั้นมีเทคนิคง่ายๆ ที่สามารถช่วยให้คุณได้รถตามที่ต้องการ โดยไม่ต้องเผชิญกับความยุ่งยาก ดังนี้:

    จองล่วงหน้า : การจองล่วงหน้าจะช่วยให้คุณมีโอกาสได้เลือกประเภทและขนาดของรถตามความต้องการ ควรจองอย่างน้อย 3-7 วันก่อนวันที่ต้องการใช้ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีรถพร้อมบริการในวันนั้น
    ตรวจสอบความพร้อมของบริษัท : เลือกบริษัทที่มีบริการหลากหลายประเภท เช่น รถกระบะ รถหกล้อ หรือรถสิบล้อ เพื่อให้สามารถเลือกใช้บริการที่เหมาะสมกับการขนย้ายของได้ดีที่สุด และตรวจสอบรีวิวหรือความน่าเชื่อถือของบริษัทเพื่อความมั่นใจ
    ยืนยันการจอง : หลังจากจองรถแล้ว ควรยืนยันการจองกับบริษัทอีกครั้งหนึ่งในวันก่อนการใช้บริการ เพื่อป้องกันการผิดพลาดหรือการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น
    ระบุรายละเอียดให้ชัดเจน : บอกความต้องการที่ชัดเจน เช่น วันที่ เวลา จุดรับและส่งของ และประเภทของรถที่ต้องการ เพื่อให้บริษัทสามารถเตรียมรถให้เหมาะสม
    เตรียมตัวก่อนวันจริง : ควรเตรียมของที่จะขนย้ายให้พร้อมล่วงหน้า เพื่อลดเวลาการรอคอยและช่วยให้การขนย้ายเป็นไปอย่างราบรื่น

การวางแผนและเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถใช้ บริการรถรับจ้างอุดรธานี ได้ตามวันที่ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ

   
รถรับจ้างอุดรธานี

สำหรับใครที่ต้องการใช้ บริการรถรับจ้างขนของ เรามีบริษัทดีดี ที่มีความเชี่ยวชาญ มาแนะนำกันค่ะ นั่นคือ ขนส่ง ผู้ให้บริการ รถรับจ้างอุดรธานี รถรับจ้างขนของ ที่น่าเชื่อถือ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านการขนส่งโดยเฉพาะ ไม่ว่าคุณจะต้องการ ขนย้ายบ้าน ย้ายหอพัก ขนส่งสินค้า หรือขนของทั่วไป ขนส่งมีรถรับจ้างหลายประเภท ทั้ง รถกระบะ รถหกล้อ และรถสิบล้อ พร้อมให้บริการทุกพื้นที่ในจังหวัดอุดรธานี และพื้นที่ใกล้เคียง

ทำไมต้องเลือกขนส่ง?

    ทีมงานมืออาชีพ บริการเป็นกันเอง
    มีรถหลายขนาด รองรับทุกความต้องการ
    ราคายุติธรรม คุ้มค่า คุยรายละเอียดได้
    ตรงเวลา ปลอดภัย ไว้ใจได้


บริการครอบคลุมทุกพื้นที่

📍 เมืองอุดรธานี

📍 อำเภอหนองหาน

📍 อำเภอกุมภวาปี

📍 อำเภอบ้านดุง

📍 และพื้นที่ใกล้เคียง

ไม่ว่าคุณจะต้องการขนย้ายอะไร ขนส่ง พร้อมให้บริการ ด้วยราคาที่ยุติธรรม และการขนส่งที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ 100% หากต้องการใช้บริการหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลย

7
ซ่อมบำรุงอาคาร: ปัญหาแอร์เสียงดัง เกิดจากอะไร ?
 
เครื่องปรับอากาศ ปัจจุบันนั้นมีมากมายและหลากหลายชนิด จนบางครั้งอาจจะเลือกไม่หมด และที่สำคัญควรเลือกเครื่องปรับอากาศอย่างไรให้เข้ากับบ้านหรือห้องภายในที่อยู่อาศัยที่เราต้องการด้วย ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ที่ใช้อำนวยความสะดวกในการปรับอุณหภูมิให้ห้องที่ต้องการให้เย็นลง แน่นอนว่า ประเทศของเรามีอากาสที่ร้อนมาก จึงไม่แปลกใจที่เครื่องปรับอากาศมีความจำเป้นในการดำเนินชีวิตของใครหลายคน แต่ก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่ต้องสูงมากขึ้น


แต่หากเราติดเครื่องปรับอากาศเพื่ออำนวยความสะดวกก็ต้องมั่นใจว่า เครื่องปรับอากาศของเรานั้น จะมีอายุการใช้งานที่นานและมีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหลายบ้านต้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในบ้านเครื่องใหม่และอาจจะสงสัยว่า ช่วงที่ช่างที่มาติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่บ้านของเรานั้น ทำงานเรียบร้อยหรือไม่หรือติดตั้งเครื่องปรับอากาศในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือเปล่า เพราะปัจจัยที่กล่าวมานั้น ส่งผลต่อการทำงานของเครื่องปรับอากาศภายในบ้านของเรา


เพราะถ้าหากเราจะต้องเสียงเงินเพื่อติดตั้งเครื่องปรับอากาศใหม่แล้วก็ต้องมั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศที่เราติดตั้งไปแล้ว จะไม่เกิดปัญหาในภายหลังแล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า เครื่องปรับอากาศที่ติดตั้งอยู่ภายในบ้านของเรานั้น มีระบบแอร์ที่ถูกต้องและถูกติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าไฟฟ้า แต่ที่สำคัญที่สุดของการใช้งานเครื่องปรับอากาศก็คือ การบำรุงรักษา เพราะไม่อย่างนั้น อาจจะทำให้แอร์พังก่อนอายุการใช้งานของมันจริงๆ วันนี้จะมาพูดถึงปัญหาของแอร์ เชื่อว่า หลายบ้านอาจจะประสบปัญหาแอร์เสียงดัง ซึ่งหากเกิดปัญหาต้องแก้ไขทันที
 
ซึ่งปัญหาแอร์เสียงดังนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ถ้าหากแอร์ที่เก่ามากๆ อาจเกิดเสียงดังเวลาทำงานเนื่องจากโครงสร้างผิดรูป เกิดช่องว่างระหว่างตัวอุปกรณ์ หรือช่องว่างระหว่างตัวแอร์กับผนังที่ติดตั้ง ทำให้เวลาแอร์ทำงานก็จะเกิดอาการสั่นสะเทือน ซึ่งทำให้เกิดเสียงรบกวนได้ หรือมีต้นเหตุมาจาก คอยล์เย็นที่มีความเสื่อมสภาพ เพราะแอร์จะมีพัดลมตัวใหญ่ที่จะคอยทำหน้าที่ดูด-เป่าอากาศภายในห้อง ซึ่งภายในพัดลมนั้นก็จะมีชิ้นส่วนที่เรียกว่า ตลับลูกปืนพัดลม


หากชิ้นส่วนนี้เกิดการเสื่อมสภาพ หรือจารบีที่ใส่ไว้ในตลับลูกปืนแห้ง ก็จะทำให้แอร์มีเสียงดังในขณะที่พัดลมแอร์กำลังทำงานนั่นเอง แอร์ที่ใช้งานมานานก็ต้องมีการเสื่อมสภาพไปตามอายุการใช้งาน หรืออาจะมีฝุ่นสะสมเป็นจำนวนมาก หากเราไม่ได้ทำการล้างแอร์เป็นเวลานาน ทำให้ภายในแอร์มีฝุ่นเข้าไปจับตามส่วนต่างๆ นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้แอร์เกิดเสียงขณะทำงาน เพราะฉะนั้น ควรบำรุงรักษาแอร์ของเราให้มีการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


ซึ่งสาเหตุนี้อาจจะพบเจอได้บ่อย นอกจากนี้ อาจจะเกิดจากการติดตั้งแอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หากเรามีการจ้างช่างแอร์เข้ามาติดตั้งแอร์ในบ้าน หรือมีการถอดชิ้นส่วนของแอร์มาเพื่อทำการล้าง แต่ด้วยการที่ช่างอาจจะขาดประสบการณ์ ทำให้การติดตั้งหรือประกอบแอร์กลับเข้าไปไม่ได้มาตรฐาน ก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดเสียงดังขึ้นได้


รวมไปถึง เกิดจากปัญหาใบพัดลมคอมเพรสเซอร์แตก หากเรามีการใช้งานตัวแอร์และคอมเพรสเซอร์มาเป็นเวลานาน จำเป็นต้องตรวจเช็คคุณภาพของพัดลมในอุปกรณ์ด้วย เพราะอาจเกิดจากการเสื่อมสภาพ หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปเวลาแอร์ทำงาน ทำให้เกิดเสียงดังรบกวนได้เช่นกัน  ดังนั้น หากมีปัญหาตามที่กล่าวมานั้น ควรที่จะรีบแก้ไข และหยุดใช้งานไปก่อน จนกว่าจะได้รับการแก้ไข หากฝืนใช้ต่อไป อาจจะทำให้แอร์ของคุณพังอย่างแน่นอน
 
ทั้งนี้เราอยากให้ทุกคนได้เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหมาะสมกับคุณ ทางเรามีบริการดูแลระบบเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร ที่มีคนจำนวนมาก เพื่อที่จะได้สามารถใช้งานเครื่องปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราถือว่า ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะใช้ชีวิตในภายในอาคาร นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์และสะอาดเข้าไป ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สดชื่น สบายมากยิ่งขึ้น

8
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


9
Doctor At Home: ต่อมลูกหมากโต (Benign prostatic hyperplasia/BPH)

ผู้ชายเมื่อมีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ต่อมลูกหมาก* จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเป็นก้อนโต แล้วจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุ เมื่อโตมากจะเกิดแรงกดต่อท่อปัสสาวะ ทำให้มีอาการผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการแสดงเมื่อมีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป และยิ่งมีอายุมากขึ้นก็จะมีอาการแสดงของโรคนี้มากขึ้น ส่วนผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีจะพบได้น้อย

ผู้ชายที่มีต่อมลูกหมากโต บางรายอาจไม่มีอาการผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ และความรุนแรงของอาการก็ไม่ได้ขึ้นกับขนาดของต่อมลูกหมากเสมอไป กล่าวคือ ผู้ที่มีต่อมลูกหมากขนาดที่โตกว่า อาจมีอาการแสดงน้อยกว่าผู้ที่มีต่อมลูกหมากโตในขนาดที่เล็กกว่าก็ได้


 

*ต่อมลูกหมาก (prostate gland) เป็นต่อมของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ในผู้ชาย อยู่ตรงด้านหลังของคอกระเพาะปัสสาวะในอุ้งเชิงกรานหลังกระดูกหัวหน่าว โดยอยู่รอบท่อปัสสาวะ ต่อมลูกหมากมี 5 กลีบ มีขนาดเท่าลูกเกาลัด หนักประมาณ 20 กรัม ต่อมนี้จะผลิตของเหลว (ซึ่งมีสารประกอบหลายชนิด) ทำหน้าที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงเชื้ออสุจิ ของเหลวที่ผลิตจากต่อมลูกหมากนี้นับเป็นประมาณร้อยละ 30 ของน้ำอสุจิที่หลั่งออกมาทั้งหมด

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮอร์โมนเพศชายที่ชื่อว่า ไดไฮโดรเทสโทสเทอโรน (dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ต่อมลูกหมากโต พบว่ามีระดับสูงขึ้นในผู้ชายสูงอายุ

นอกจากนี้ พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่อมลูกหมากโต ที่สำคัญ ได้แก่

    อายุ พบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
    ประวัติครอบครัว ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคต่อมลูกหมากโตจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากกว่าปกติ 
    ผู้มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด 
    ผู้ที่มีภาวะอ้วน

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก ต้องออกแรงเบ่งหรือรอนานกว่าจะถ่ายปัสสาวะออกมาได้ ทำให้ใช้เวลาในการถ่ายปัสสาวะนาน ปัสสาวะไม่พุ่งเหมือนคนปกติ ลำปัสสาวะมีลักษณะเบี้ยวหรือเล็กลง มีความรู้สึกเหมือนถ่ายปัสสาวะไม่สุด และปัสสาวะบ่อย (ห่างกันไม่ถึง 2 ชั่วโมง)

นอกจากนี้ เวลามีความรู้สึกปวดปัสสาวะ ต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที อาจมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หากเข้าห้องน้ำไม่ทัน อาจมีปัสสาวะเล็ด หรือปัสสาวะราด หลังเข้านอนตอนกลางคืนต้องลุกขึ้นปัสสาวะบ่อย และบางครั้งอาจปัสสาวะรดกางเกงหรือที่นอน

อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะกะปริดกะปรอย ถ่าย ๆ หยุด ๆ หลายครั้ง ในช่วงท้ายของการถ่ายอาจมีปัสสาวะออกเป็นหยด ๆ 

บางรายอาจมีอาการถ่ายมีเลือดออกปนในปัสสาวะ เนื่องจากหลอดเลือดดำที่ท่อปัสสาวะถูกแรงกดดัน ทำให้เกิดการแตกมีเลือดออกได้

อาการมักค่อย ๆ เป็นมากขึ้นอย่างช้า ๆ บางรายอาจมีอาการคงที่ หรืออาจรู้สึกดีขึ้นชั่วคราว ในระยะต่อมา (อาจนานเป็นปี ๆ ถึงหลายปี) เมื่อต่อมลูกหมากโตมากและกดท่อปัสสาวะอย่างรุนแรง ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบากมากขึ้น บางรายอาจถึงขั้นถ่ายปัสสาวะไม่ออก มีความรู้สึกปวดปัสสาวะ ปวดตึงท้องน้อย และคลำได้ก้อนของกระเพาะปัสสาวะที่มีปัสสาวะคั่งเต็ม

บางครั้งอาการปัสสาวะไม่ออกเฉียบพลันอาจเกิดหลังจากใช้ยาที่มีฤทธิ์แอนติโคลิเนอร์จิก เช่น แอนติสปาสโมดิก ยาแก้แพ้ ยาทางจิตประสาท ยาบรรเทาปวดกลุ่มโอพิออยด์ (opioid เช่น มอร์ฟีน โคเดอีน ทรามาดอล เป็นต้น) และยากลุ่มกระตุ้นประสาทซิมพาเทติก (sympathomimetic) เช่น อะดรีนาลิน สูโดเอฟีดรีน เป็นต้น หรืออาจเกิดหลังดื่มแอลกอฮอล์ วางยาสลบ หรือนอนอยู่นาน ๆ (ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย)

ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยให้ท่อปัสสาวะเกิดการอุดกั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ นานนับเป็นปี ๆ อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา อาทิ

    ผนังกระเพาะปัสสาวะหนาตัวและอ่อนแรงในการบีบขับปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะออกได้น้อยกว่าคนปกติ มีปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ (เป็นเหตุให้มีอาการถ่ายปัสสาวะผิดปกติมากขึ้น และเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา)
    การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ 
    การเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
    การอุดกั้นของท่อปัสสาวะ เกิดแรงดันย้อนขึ้นทางเดินปัสสาวะด้านบน ทำให้ท่อไตและไตบวม ไตเสื่อม
    ท่อปัสสาวะเกิดการอุดกั้นอย่างสมบูรณ์ ทำให้ถ่ายปัสสาวะไม่ออก มีปัสสาวะคั่งเต็มในกระเพาะปัสสาวะ จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการใส่สายสวนปัสสาวะ หรือผ่าตัด
    ไตวายเรื้อรัง

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งอาจมีสิ่งตรวจพบดังนี้

การใช้นิ้วมือตรวจทางทวารหนัก (โดยการใส่ถุงมือและมีสารหล่อลื่น) อาจคลำได้ต่อมลูกหมากที่โตกว่าปกติ

ในรายที่มีอาการถ่ายปัสสาวะไม่ออก อาจคลำได้ก้อนของกระเพาะปัสสาวะที่มีปัสสาวะคั่งเต็ม

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจอัลตราซาวนด์ การถ่ายภาพรังสีทางเดินปัสสาวะโดยการฉีดสารทึบรังสีเข้าหลอดเลือดดำ (intravenous urography) การใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (cystoscopy) เป็นต้น นอกจากนี้อาจทำการตรวจปัสสาวะ (ดูการติดเชื้อหรือเลือดออก) ตรวจระดับครีอะตินีนในเลือด (ดูภาวะไตวาย) ตรวจสารพีเอสเอในเลือด (PSA)*

ในรายที่สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก (เช่น ตรวจพบระดับพีเอสเอในเลือดสูงผิดปกติ) แพทย์จะทำการตรวจชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก 

บางรายแพทย์อาจทำการทดสอบความแรงและปริมาณของการถ่ายปัสสาวะ (urinary flow test) และการวัดปริมาณปัสสาวะที่ค้างหลังถ่ายปัสสาวะ (postvoid residual volume test) เพื่อติดตามประมาณความรุนแรงของโรค

*พีเอสเอ (Prostate specific antigen/PSA) เป็นสารที่สร้างโดยเนื้อเยื่อต่อมลูกหมาก ระดับพีเอสเอในเลือดมีค่าปกติต่ำกว่า 4 นาโนกรัม/มล. ถ้ามีค่าสูงกว่าปกติ แสดงว่าอาจมีพยาธิสภาพของต่อมลูกหมาก เช่น ต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบ มะเร็งต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากได้รับบาดเจ็บหรือผ่าตัด เป็นต้น

ถ้ามีค่าระหว่าง 4-10 นาโนกรัม/มล. อาจเป็นมะเร็งหรือไม่ใช่มะเร็งก็ได้

ถ้ามากกว่า 10 นาโนกรัม/มล. มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นสาเหตุที่ไม่ใช่มะเร็งมักจะมีค่าต่ำกว่า 20 นาโนกรัม/มล.

ถ้ามีค่ามากกว่า 100 นาโนกรัม/มล. มักจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดแพร่กระจาย

ถ้ามีค่าพีเอสเอเพิ่มขึ้นปีละ 0.8 นาโนกรัม/มล. หรือมากกว่า อาจบ่งชี้ว่ากำลังมีมะเร็งเกิดขึ้น

ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากบางรายก็อาจมีค่าพีเอสเออยู่ในระดับปกติก็ได้

การรักษาโดยแพทย์

1. ในรายที่เป็นระยะแรกเริ่ม มีอาการเล็กน้อย แพทย์จะแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย และเฝ้าติดตามดูอาการเป็นระยะ

2. การรักษาต่อมลูกหมากโตด้วยยา ในรายที่มีอาการปัสสาวะลำบากมากขึ้น มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต หรืออยู่ระหว่างรอผ่าตัดหรือมีข้อห้ามในการผ่าตัด แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาชนิดใดชนิดหนึ่ง ดังนี้

    ยากลุ่มปิดกั้นแอลฟา (alpha-blockers) เช่น แทมซูโลซิน (tamsulosin) พราโซซิน (prazosin) เทราโซซิน (terazosin) ดอกซาโซซิน (doxazosin) เป็นต้น ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อต่อมลูกหมากและกล้ามเนื้อหูรูดที่คอกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ถ่ายปัสสาวะได้คล่องขึ้น นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ลดความดันโลหิต เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
    ยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์แอลฟารีดักเทส (alpha reductase inhibitors) เช่น ไฟนาสเตอไรด์ (finasteride), ดูทาสเตอไรด์ (dutasteride) ยานี้มีฤทธิ์ยับยั้งไม่ให้เทสโทสเทอโรนเปลี่ยนเป็นไดไฮโดรเทสโทสเทอโรน (ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ต่อมลูกหมากโต) ก็จะทำให้ต่อมลูกหมากเล็กลงได้ประมาณร้อยละ 30 ยานี้มีข้อดีทำให้ผมดกขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีผมบางหรือศีรษะล้านร่วมด้วย
    ในรายที่ใช้ยากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้ผลเท่าที่ควร แพทย์จะให้ยาทั้ง 2 กลุ่มข้างต้นร่วมกัน

3. การรักษาต่อมลูกหมากโตด้วยการผ่าตัด ในรายที่ใช้ยาไม่ได้ผลหรือการใช้ยามีผลข้างเคียงมาก มีอาการรุนแรงหรือกระทบต่อการดำเนินชีวิต หรือมีภาวะแทรกซ้อน (เช่น มีอาการปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะเป็นเลือดบ่อย ๆ เป็นโรคติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะบ่อย ๆ มีนิ่วกระเพาะปัสสาวะ มีภาวะผิดปกติของไตหรือไตเสื่อม) แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัดซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน อาทิ

    การผ่าตัดต่อมลูกหมากผ่านกล้องส่องทางท่อปัสสาวะ (transurethral resection of the prostate/TURP) เป็นวิธีมาตรฐานที่ใชักันมากในการรักษาโรคต่อมลูกหมากโต แพทย์จะตัดเอาเนื้อเยื่อต่อมลูกหมากออก ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถถ่ายปัสสาวะได้แรงทันทีหลังผ่าตัด วิธีนี้ช่วยให้หายดีเป็นส่วนใหญ่ (มีเพียงส่วนน้อยที่อาจกำเริบใหม่) แต่หลังผ่าตัด จำเป็นต้องใส่สายสวนปัสสาวะเป็นการชั่วคราวสักระยะหนึ่ง และอาจมีผลแทรกซ้อนตามมา เช่น เกิดการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ ปัสสาวะมีเลือดออก ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ (incontinence) ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (erectile dysfunction) ภาวะอสุจิไหลกลับเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น
    การกรีดต่อมลูกหมากผ่านกล้องส่องทางท่อปัสสาวะ (transurethral incision of the prostate/TUIP) โดยใช้มีดไฟฟ้าหรือเลเซอร์กรีดต่อมลูกหมากเป็นรอยเล็ก ๆ 1-2 รอย เพื่อลดแรงกดต่อท่อปัสสาวะ ทำให้ท่อปัสสาวะขยายกว้างขึ้น ปัสสาวะไหลออกได้ดีขึ้น วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตในขนาดไม่มาก
    การผ่าตัดต่อมลูกหมากด้วยเลเซอร์ (prostate laser surgery) โดยสอดเครื่องมือผ่านกล้องส่องทางท่อปัสสาวะ แล้วใช้เลเซอร์พลังงานสูงทำลายหรือตัดเอาเนื้อเยื่อต่อมลูกหมากที่อุดกั้นท่อปัสสาวะออกไป ช่วยให้ปัสสาวะได้ดีขึ้น การรักษาด้วยเลเซอร์มีหลายวิธี

การผ่าตัดด้วยเลเซอร์มีข้อดี คือ เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวได้เร็วกว่า และมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม (ที่ไม่ใช้เลเซอร์) ทำเสร็จสามารถกลับบ้านได้เลยหรือพักในโรงพยาบาลเพียง 1-2 วัน วิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ (เช่น ผู้ป่วยที่ต้องกินยาละลายลิ่มเลือด) รวมทั้งผู้ป่วยที่ไม่ต้องการนอนโรงพยาบาลหรือใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน

    การผ่าตัดด้วยการใช้คลื่นไมโครเวฟ (transurethral microwave thermotherapy/TUMT) โดยการใช้อุปกรณ์พิเศษสอดผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปในต่อมลูกหมาก แล้วใช้คลื่นไมโครเวฟในการกำจัดเนื้อเยื่อบางส่วนของต่อมลูกหมากออกไป ทำให้ต่อมลูกหมากหดตัวลง ช่วยให้ปัสสาวะได้ดีขึ้น ข้อดีคือ ผลข้างเคียงน้อยและฟื้นตัวเร็ว แต่มีข้อเสียคือ บางรายอาจมีอาการกำเริบใหม่และต้องทำการรักษาเพิ่มเติม
    การผ่าตัดต่อมลูกหมากแบบเปิดเข้าหน้าท้อง (open prostatectomy) สำหรับผู้ป่วยต่อมลูกหมากที่มีขนาดโตมาก แพทย์จะทำการผ่าตัดโดยการเปิดเข้าหน้าท้องส่วนล่าง เข้าไปตัดเอาเนื้อเยื่อต่อมลูกหมากออก (suprapubic หรือ retropubic prostatectomy) วิธีนี้อาจทำให้มีเลือดออก (อาจออกมากจนต้องให้เลือด) และจำเป็นต้องพักรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลานานกว่าการผ่าตัดโดยการใช้กล้องส่อง นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ภาวะอสุจิไหลกลับเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น
    การผ่าตัดต่อมลูกหมากโดยใช้หุ่นยนต์ช่วย ในปัจจุบันการผ่าตัดต่อมลูกหมากแบบเปิดเข้าหน้าท้อง แพทย์นิยมใช้หุ่นยนต์ช่วย (robot-assisted prostatectomy) ซึ่งช่วยให้มีเลือดออกน้อย แผลผ่าตัดเล็ก (ทำให้ปวดแผลและมีรอยแผลน้อย) ฟื้นตัวเร็ว และลดระยะการพักอยู่โรงพยาบาลลง เมื่อเทียบกับการไม่ใช้หุ่นยนต์ช่วย

4. การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ สำหรับผู้ป่วยบางรายที่ใช้ยาไม่ได้ผลหรือไม่อาจใช้ยารักษา และเป็นผู้ป่วยที่มีอายุมากหรือสุขภาพไม่แข็งแรงซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการผ่าตัด หรือผู้ป่วยยังไม่พร้อมเข้ารับการผ่าตัด แพทย์อาจเลือกรักษาด้วยวิธีอื่นที่ง่าย มีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าการผ่าตัดต่อมลูกหมาก ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ดี แต่อาจมีอาการกำเริบ ซึ่งจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดในอนาคต

ในปัจจุบันมีหลายวิธีที่แพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย ตัวอย่างเช่น

    การรักษาด้วยวิธียกเนื้อเยื่อต่อมลูกหมากออกจากท่อปัสสาวะ (prostatic urethral lift/PUL) ที่เรียกว่า “เทคนิคยูโรลิฟต์ (UroLift)” โดยการใส่อุปกรณ์พิเศษขนาดจิ๋วผ่านกล้องส่องท่อปัสสาวะ เข้าไปกดบีบด้านข้างของต่อมลูกหมาก เพื่อยกเนื้อเยื่อต่อมลูกหมากออกจากท่อปัสสาวะ ช่วยให้ปัสสาวะไหลออกได้ดี
    การรักษาโรคต่อมลูกหมากโตด้วยไอน้ำ (water vapor thermal therapy/WVT หรือ Rezum therapy) โดยการฉีดไอน้ำที่มีอุณหภูมิ 103 องศาเซลเซียสเข้าไปในต่อมลูกหมาก ทำให้เซลล์ที่อุดตันท่อทางเดินปัสสาวะตาย และถูกกำจัดเซลล์ออกไป ต่อมลูกหมากจะมีขนาดเล็กลง และท่อปัสสาวะเปิดกว้างให้ปัสสาวะไหลออกได้ดี

5. ให้การรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น ให้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ ใช้สายสวนปัสสาวะในรายที่ปัสสาวะไม่ออก เป็นต้น

ผลการรักษา ถ้าได้รับการรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัด อาการจะทุเลาได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน แต่ต้องคอยติดตามการรักษากับแพทย์เป็นระยะ


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก ต้องออกแรงเบ่งหรือรอนานกว่าจะถ่ายปัสสาวะออกมาได้ ใช้เวลาในการถ่ายปัสสาวะนาน ปัสสาวะไม่พุ่ง ลำปัสสาวะเบี้ยวหรือเล็กลง มีความรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุดและปัสสาวะบ่อย มีความรู้สึกเวลาปวดปัสสาวะต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นต่อมลูกหมากโต ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามาใช้เอง เนื่องจากยาหลายชนิด (เช่น ยาแก้แพ้แก้หวัด ยาแก้ปวดท้องกลุ่มแอนติสปาสโมดิก) อาจทำให้ปัสสาวะลำบากหรือปัสสาวะไม่ออกได้
    ดื่มน้ำให้เพียงพอ ประมาณวันละ 8-10 แก้ว แต่ก่อนเข้านอน 1-2 ชั่วโมงควรดื่มน้ำให้น้อยลง เพื่อลดปริมาณปัสสาวะ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาถ่ายปัสสาวะตอนกลางดึก
    หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสารเหล่านี้กระตุ้นให้มีปัสสาวะออกมาก ทำให้อาการเป็นมากขึ้น
    ลดน้ำหนักถ้าอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ด้วยการออกกำลังกายและควบคุมอาหารการกิน
    ถ่ายปัสสาวะทันทีเมื่อเริ่มรู้สึกปวดถ่าย อย่าอั้นปัสสาวะ อาจทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะยืดตัวมากเกิน ทำให้ผนังกระเพาะปัสสาวะหย่อนยานได้
    หลังถ่ายปัสสาวะสุดในครั้งแรกแล้ว รอสักครู่เดียวให้ถ่ายอีกครั้ง เพื่อลดปริมาณปัสสาวะที่คั่งค้าง
    หมั่นเคลื่อนไหวร่างกาย (การนั่งหรือนอนนาน ๆ อาจทำให้ปัสสาวะคั่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะมากเกิน)
    รักษาร่างกายให้อบอุ่น หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีอากาศเย็น เพราะมีผลให้มีปัสสาวะคั่งมากเกิน


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการถ่ายปัสสาวะผิดปกติรุนแรงขึ้น
    มีอาการไข้ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะขุ่นหรือเป็นเลือด หรือปัสสาวะไม่ออก
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม หายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ หายใจลำบาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน หน้ามืดเป็นลม ตามัว หูอื้อ หูตึง ปวดท้อง ท้องผูก ท้องเดิน ถ่ายอุจจาระดำ คลื่นไส้ อาเจียน ดีซ่าน (ตาเหลือง) จุดแดงจ้ำเขียว บวม ไอเรื้อรัง เป็นต้น

การป้องกัน

โรคนี้เกิดมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น และยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล แต่อาจลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ด้วยการปฏิบัติตัว ดังนี้

    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    กินผักและผลไม้ให้มาก และลดการกินอาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาล
    ออกกำลังกายเป็นประจำ

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้เป็นภาวะที่ไม่รุนแรง และมีทางรักษาให้หายได้ แต่ถ้าปล่อยไว้ อาจมีภาวะแทรกซ้อนอันตรายร้ายแรงได้ ดังนั้น ผู้ป่วยควรติดตามรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

2. อาการถ่ายปัสสาวะลำบากในผู้ชายสูงอายุ อาจมีสาเหตุจากโรคมะเร็งของต่อมลูกหมาก หรือมะเร็งของกระเพาะปัสสาวะก็ได้ ซึ่งบางครั้งอาจแยกอาการจากต่อมลูกหมากโตไม่ออก ดังนั้นทางที่ดีควรแนะนำให้ผู้ชายสูงอายุที่มีอาการปัสสาวะลำบากไปตรวจที่โรงพยาบาลทุกราย

10
เที่ยวระยอง 2 วัน 1 คืน ถ่ายรูปสวย วิวดีทุกจุด ปล่อยใจจอยๆ

ระยองเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่เหมาะกับทริปสั้นๆ 2 วัน 1 คืน สำหรับการพักผ่อน ถ่ายรูปสวยๆ และปล่อยใจจอยๆ ไปกับวิวทะเลและธรรมชาติที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ค่ะ ลองดูแพลนนี้ รับรองว่าได้รูปปังๆ กลับไปแน่นอน!

แพลนเที่ยวระยอง 2 วัน 1 คืน (ถ่ายรูปสวย วิวดีทุกจุด)
วันแรก: สัมผัสเสน่ห์ริมหาดและวิวทะเลสุดชิลล์

เช้า (08:00 - 10:00 น.): เดินทางสู่ระยอง

ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ระยอง ใช้เวลาขับรถประมาณ 2.5 - 3 ชั่วโมง

สาย (10:30 - 12:00 น.): เช็คอินที่พักใกล้หาด (หรือรีสอร์ทสวยๆ)

เลือกรีสอร์ทหรือที่พักที่มีบรรยากาศดีๆ ใกล้ทะเล หรือมีวิวทะเลสวยๆ เช่น

หาดแสงจันทร์/หาดแหลมเจริญ: มีเขื่อนกันคลื่นหินกลมๆ ถ่ายรูปสวยแปลกตา บรรยากาศชิลล์ มีร้านอาหารทะเล

หาดแม่พิมพ์/แหลมแม่พิมพ์: หาดยอดนิยม บรรยากาศคึกคัก มีร้านอาหาร ที่พักหลากหลาย

บ้านเพ/หาดสวนสน: บรรยากาศเงียบสงบกว่า เหมาะแก่การพักผ่อน

เก็บสัมภาระ เตรียมตัวออกไปลุย!

เที่ยง (12:00 - 13:00 น.): อิ่มอร่อยกับอาหารทะเลสดๆ

เลือกร้านอาหารทะเลชื่อดังใกล้ๆ ที่พัก หรือบริเวณหาดแม่พิมพ์/บ้านเพ รับรองความสดใหม่

บ่าย (14:00 - 17:00 น.): ถ่ายรูปปังๆ ที่ "ทุ่งโปรงทอง" (ปากน้ำประแส)

เดินทางไปยังทุ่งโปรงทอง ที่ปากน้ำประแส เป็นป่าชายเลนที่มีทางเดินไม้ทอดยาวไปจนถึงทุ่งต้นโปรงสีเขียวอมทอง ถ่ายรูปกับธรรมชาติได้สวยงามมาก โดยเฉพาะช่วงบ่ายที่แสงแดดกำลังดี

ใช้เวลาเดินเล่น ซึมซับธรรมชาติ ถ่ายรูปได้หลายมุม

เย็น (18:00 น. เป็นต้นไป): ดินเนอร์สุดโรแมนติกริมทะเล หรือที่ตลาดกลางคืน

ตัวเลือกที่ 1: ดินเนอร์ริมหาด เลือกร้านอาหารทะเลที่มีบรรยากาศโรแมนติก ชมวิวพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น

ตัวเลือกที่ 2: ตลาดกลางคืน: หากอยากได้บรรยากาศคึกคัก มีของกินหลากหลาย แนะนำไปเดินเล่นที่ ตลาด PMY Night Market (ใกล้หาดแสงจันทร์) หรือ ถนนคนเดินระยอง (ถนนยมจินดา) (เปิดเฉพาะศุกร์-อาทิตย์)

วันที่สอง: สัมผัสงานศิลปะและคาเฟ่วิวสวย ก่อนกลับ

เช้า (08:00 - 09:00 น.): อรุณสวัสดิ์ยามเช้า

ตื่นเช้ารับลมทะเล สูดอากาศบริสุทธิ์ ทานอาหารเช้าที่รีสอร์ท

สาย (10:00 - 12:00 น.): แวะชิลล์ที่ "ระยอง อะควาเรียม" (ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง)

แหล่งเรียนรู้โลกใต้ทะเลที่ไม่ควรพลาด มีสัตว์น้ำหลากหลายชนิด และโซนอุโมงค์ปลาให้เดินชม ถ่ายรูปกับเหล่าสัตว์ทะเล

เที่ยง (12:00 - 13:00 น.): อาหารกลางวัน

ทานอาหารกลางวันใกล้ๆ ระยองอะควาเรียม หรือเลือกคาเฟ่ที่มีอาหารอร่อยๆ

บ่าย (14:00 - 16:00 น.): คาเฟ่วิวสวย ถ่ายรูปเก๋ๆ และซื้อของฝาก

ตัวเลือกที่ 1: คาเฟ่ริมทะเล/ริมผา: เช่น Cafe Kantary, Rayong (มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะ) หรือคาเฟ่ริมทะเลอื่นๆ ที่มีวิวปัง

ตัวเลือกที่ 2: คาเฟ่ในเมือง/บรรยากาศดี: อาจเป็นคาเฟ่สไตล์มินิมอล หรือคาเฟ่ที่มีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ในเมืองระยอง

แวะซื้อของฝากขึ้นชื่อของระยอง เช่น ผลไม้แปรรูป, อาหารทะเลแห้ง, หรือสินค้าโอท็อป

บ่ายแก่ๆ (16:00 น. เป็นต้นไป): เดินทางกลับกรุงเทพฯ

เคล็ดลับสำหรับทริปนี้:

การเดินทาง: แนะนำให้ใช้ รถยนต์ส่วนตัว จะสะดวกที่สุดในการเดินทางไปยังแต่ละจุดท่องเที่ยวในระยอง

การจองที่พัก: หากไปช่วงวันหยุดยาว หรือฤดูท่องเที่ยว ควรจองที่พักล่วงหน้า

อุปกรณ์กันแดด: ระยองอากาศค่อนข้างร้อนและแดดแรง เตรียมหมวก แว่นกันแดด ครีมกันแดดให้พร้อม

ชุดสวยๆ: เตรียมเสื้อผ้าสีสันสดใส หรือชุดที่เข้ากับบรรยากาศทะเลและธรรมชาติ เพื่อรูปถ่ายที่สวยปัง!

กล้องถ่ายรูป: อย่าลืมพกกล้องคู่ใจ หรือโทรศัพท์ที่กล้องดีๆ ไปด้วยนะคะ

หวังว่าแพลนนี้จะช่วยให้คุณมีทริประยองที่สนุกสนาน ได้รูปสวยๆ และได้ปล่อยใจจอยๆ แบบเต็มที่ค่ะ!

11
บอร์ดโพสเว็บบอร์ดsmf / doctor at home: จมน้ำ (Drowning)
« เมื่อ: วันที่ 3 ตุลาคม 2025, 21:24:10 น. »
doctor at home: จมน้ำ (Drowning)

จมน้ำ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยและมีความรุนแรง มักจะทำให้ตายในเวลาเพียงไม่กี่นาที

สาเหตุ

มักเกิดกับเด็กเล็กและผู้ที่ว่ายน้ำไม่เป็น อาจเกิดจากการตกน้ำทั้งในแหล่งน้ำธรรมชาติ และภาชนะกักเก็บน้ำภายในบ้าน จมน้ำจากอุบัติเหตุ เช่น เรือคว่ำ เรือชน เมาเหล้า โรคลมชัก โรคหัวใจวาย เป็นลม เป็นต้น

อาการ

ผู้ที่จมน้ำมักจะมีอาการหมดสติ และหยุดหายใจ บางรายอาจมีภาวะหัวใจหยุดเต้น (คลำชีพจรไม่ได้) ร่วมด้วย

ถ้าไม่ถึงกับหมดสติ ก็อาจมีอาการปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก อาเจียน กระวนกระวาย หรือไอมีฟองเลือดเรื่อ ๆ (ซึ่งแสดงว่ามีภาวะปอดบวมน้ำ)

บางรายอาจตรวจพบภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันต่ำหรือภาวะช็อก


ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ที่จมน้ำมักจะตายเนื่องจากขาดอากาศหายใจเพราะสำลักน้ำ บางรายอาจตายเนื่องจากภาวะเกร็งของกล่องเสียง (laryngospasm) ทำให้หายใจไม่ได้ สาเหตุเหล่านี้มักจะทำให้ผู้ที่จมน้ำตายภายใน 5-10 นาที

ผู้ที่จมน้ำถึงแม้จะรอดมาได้ในระยะแรก แต่ก็อาจจะตายเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนในภายหลังได้ เช่น ปอดอักเสบ การเปลี่ยนแปลงของระดับเกลือแร่ในร่างกาย ภาวะเลือดเป็นกรด ภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ภาวะปอดไม่ทำงาน (ปอดล้ม ปอดวาย) เป็นต้น

ในรายที่ขาดอากาศหายใจเป็นเวลานาน อาจเป็นสมองพิการได้

ภาวะเหล่านี้มักเกิดขึ้นไม่ต่างกันมากนัก ทั้งในพวกที่จมน้ำจืด (แม่น้ำ ลำคลอง บ่อ สระน้ำ) และพวกที่จมน้ำทะเล รวมทั้งอาการแสดงและการรักษาก็ไม่ต่างกันมาก

ข้อแตกต่าง คือ น้ำจืดจะมีความเข้มข้นน้อยกว่าเลือด (พลาสมา) ดังนั้น ถ้ามีน้ำอยู่ในปอดจำนวนมากก็จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดทันที ทำให้ปริมาตรของเลือดที่ไหลเวียนเพิ่มจากเดิม (hypervolemia) มีผลทำให้ระดับเกลือแร่ (เช่น โซเดียม โพแทสเซียม) ในเลือดลดลง ซึ่งอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหัวใจวายได้ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (hemolysis) ได้อีกด้วย

ส่วนน้ำทะเลจะมีความเข้มข้นมากกว่าเลือด น้ำทะเลที่สำลักอยู่ในปอดจะดูดซึมน้ำเลือด (พลาสมา) จากกระแสเลือดเข้าไปในปอด ทำให้เกิดภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ระบบไหลเวียนมีปริมาตรลดลง (hypovolemia) และระดับเกลือแร่ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติหัวใจวาย หรือเกิดภาวะช็อกได้

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จมน้ำมักตายเนื่องจากขาดอากาศหายใจมากกว่าการเปลี่ยนแปลงของระดับเกลือแร่และปริมาตรของเลือด


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ

ในรายที่สงสัยมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลทุกราย ไม่ว่าจะมีอาการหนักเบาเพียงใด เพื่อเฝ้าสังเกตอาการ และหาทางป้องกันและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น

มักจะทำการเจาะเลือดตรวจระดับแก๊สในเลือด และตรวจหาความเข้มข้นของเกลือแร่ เอกซเรย์ดูว่ามีการอักเสบของปอดหรือปอดแฟบหรือไม่ หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ

การรักษา ให้ออกซิเจน ต่อเครื่องช่วยหายใจ ให้น้ำเกลือ พลาสมาหรือเลือด

ถ้ามีภาวะหัวใจวายก็จะให้ยาขับปัสสาวะและยารักษาโรคหัวใจ (เช่น ไดจอกซิน)

ถ้ามีปอดอักเสบ จะให้ยาปฏิชีวนะและสเตียรอยด์


การดูแลตนเอง

เมื่อพบผู้ป่วยจมน้ำ ควรทำการปฐมพยาบาล และรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที


การปฐมพยาบาล

การช่วยเหลือผู้ที่จมน้ำอย่างถูกต้องก่อนส่งไปโรงพยาบาล มีผลต่อความเป็นความตายของผู้ป่วยมาก ควรแนะนำวิธีปฐมพยาบาลดังนี้

1. ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจ ให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจทันที อย่ามัวเสียเวลาในการพยายามนำน้ำออกจากปอดของผู้ป่วย (เช่น การจับแบกพาดบ่า) หรือทำการผายปอดด้วยวิธีอื่น เพราะจะไม่ทันการและไม่ได้ผล

ถ้าเป็นไปได้ ควรลงมือเป่าปาก ตั้งแต่ก่อนขึ้นฝั่ง เช่น หลังจากพาขึ้นบนเรือ หรือพาเข้าที่ตื้น ๆ ได้เเล้ว

เมื่อขึ้นบนฝั่งแล้ว ให้ทำการผายปอดด้วยการเป่าปากต่อไป จนกว่าผู้ป่วยจะหายใจได้เอง หรือพาไปส่งถึงโรงพยาบาลแล้ว

วิธีการเป่าปากโดยละเอียด อ่านเพิ่มเติมใน "อาการหมดสติ"

เมื่อเริ่มเป่าปากสักพัก ถ้าหากรู้สึกว่าลมเข้าปอดได้ไม่เต็มที่เนื่องจากมีน้ำอยู่เต็มท้อง อาจจับผู้ป่วยนอนคว่ำแล้วใช้มือ 2 ข้างวางอยู่ใต้ท้องผู้ป่วย ยกท้องผู้ป่วยขึ้น จะช่วยไล่น้ำออกจากท้องให้ไหลออกทางปากได้ แล้วจับผู้ป่วยพลิกหงายและทำการเป่าปากต่อไป

2. ถ้าคลำชีพจรไม่ได้ หรือหัวใจหยุดเต้น ให้ทำการนวดหัวใจทันที (วิธีนวดหัวใจอ่านเพิ่มเติมใน "อาการหมดสติ")

3. ถ้าผู้ป่วยยังหายใจได้เอง หรือช่วยเหลือจนหายใจได้แล้ว ควรจับผู้ป่วยนอนตะแคงข้าง และศีรษะหงายไปข้างหลัง เพื่อให้น้ำไหลออกทางปาก ใช้ผ้าห่มคลุมผู้ป่วยเพื่อให้เกิดความอบอุ่น อย่าให้ผู้ป่วยกินอาหารและดื่มน้ำทางปาก

4. ควรส่งผู้ป่วยที่จมน้ำไม่ว่าจะมีอาการหนักเบาเพียงใด ไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลทุกราย

ในรายที่หมดสติและหยุดหายใจ ควรผายปอดด้วยวิธีเป่าปากไปตลอดทาง อย่าเพิ่งรู้สึกหมดหวังแล้วหยุดให้การช่วยเหลือ (เคยพบว่าการเป่าปากนานเป็นชั่วโมง ๆ สามารถช่วยให้ผู้ป่วยรอดและหายขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจมน้ำที่มีความเย็น อุณหภูมิต่ำกว่า 70 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 21.1 องศาเซลเซียส)


การป้องกัน

1. ระวังอย่าให้เด็กเล็กเล่นน้ำหรืออยู่ในบริเวณใกล้กับน้ำ เช่น แม่น้ำลำคลอง บ่อน้ำ สระน้ำ รวมทั้งโอ่งน้ำ ถังใส่น้ำ ภาชนะกักเก็บน้ำภายในบ้านตามลำพัง

2. ควรส่งเสริมให้เด็กฝึกว่ายน้ำให้เป็น

3. เวลาลงเรือหรือออกทะเล ควรเตรียมชูชีพไว้ให้พร้อมเสมอ

4. ผู้ที่เมาเหล้า หรือเป็นโรคลมชัก ห้ามลงเล่นน้ำ


ข้อแนะนำ

1. วิธีผายปอดแก่ผู้ป่วยจมน้ำที่แนะนำในปัจจุบัน คือ วิธีการเป่าปาก และให้ลงมือทำให้เร็วที่สุด อย่าเสียเวลาในการจับแบกพาดบ่าเพื่อเอาน้ำออกจากปอดดังที่เคยแนะนำกันในสมัยก่อน

2. ผู้ป่วยที่จมน้ำทุกรายไม่ว่าจะหมดสติหรือหยุดหายใจหรือไม่ก็ตาม ควรพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างน้อย 24-72 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในเวลาต่อมา


12
จัดฟันบางนา: จัดฟันแบบใส ต้องเลือกหมอที่มั่นใจได้
 
ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ถือว่าเป็นสุขอนามัยที่มีความสำคัญมากของคนเรา จะเราจะต้องใช้ช่องปากและฟันในการบดเคี้ยวอาหาร พูดคุย ซึ่งล้วนแต่มีความจำเป้นที่เราจะต้องรักษาความสะอาดให้ดี เพราะถ้ามีปัญหาขึ้นมาแล้ว จะต้องแก้ไขปัญหาในระยะยาว บางรายปล่อยให้ฟันผุและไม่ได้รับการรักษาหรือเข้ารับการถอนฟัน จนทำให้เกิดปัญหาฟันตามมามากมาย นั่นหมายถึงการทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวด้วย ทางที่ดีเราทุกคนจะต้องเข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจฟันเป็นประจำทุกปี

เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง ลดการเกิดปัญหา ช่วยในเรื่องของบุคลิกภาพด้วย ซึ่งประเด็นที่เราจะมาพูดถึงนี้ก็คือ เรื่องของทันตแพทย์ ที่เราจะเลือกเพื่อการรักษา ซึ่งหลายคนเกิดการฝังใจในเรื่องของหมอฟัน ที่อาจจะทำให้ไม่อยากเข้ารับการรักษา เพราะอาจจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับการทำฟัน ไม่ว่าจะเป็น อาการเจ็บ หรืออาจจะโดนดุ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ส่งผลต่อทัศนคติของคนด้วย แต่ถ้าหากเรามีปัญหาเกี่ยวกับฟันแล้ว

เราจะทำอย่างไรเพื่อที่จะได้เข้ารับการรักษากับทันตแพทย์ที่เราสามารถไว้วางใจได้ โดยเฉพาะทันตแพทย์จัดฟัน เพราะการจัดฟัน หลายคนคงทราบดีว่า การจัดฟันนั้น เป้นการรักษาระยะยาวที่ค่อนข้างใช้เวลานานพอสมควร แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัญหาฟันของแต่ละบุคคลด้วย สำหรับทันตแพทย์ที่เราจะเลือกเข้ารับการจัดฟันแบบใสด้วยนั้น เราจะต้องเลือกทันตแพทย์เราไว้วางใจได้ มีคาวมเชี่ยวชาญและได้รับการรับรองตามมาตรฐาน
 
ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงการจัดฟันแบบใส ที่เราจะต้องเลือกทันตแพทย์ที่เรามั่นใจได้ ว่า เราจะได้รับการรักษาที่มีมาตรฐาน มีความปลอดภัย เพื่อที่เราจะได้รับการรักษาที่ดี ซึ่งเราทราบกันดีอยู่แล้วว่า การรักษาด้วยการจัดฟันแบบใส จะเป็นการจัดฟันที่ไร้ลวดเหล็ก ซึ่งประกอบด้วยชุดเครื่องมือจัดฟันแบบใส ถอดได้ โดยเครื่องมือจะออกแบบและผลิตขึ้นมาเฉพาะบุคคล ใส่สบาย ไม่ระคายเคืองปาก และยังสามารถรับประทานอาหาร ทำความสะอาดฟันได้ตามปกติ

ซึ่งนี่เป็นข้อดีที่ทำให้หลายคนเลือกเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใส แต่การเข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น ในการเลือกทันตแพทย์จัดฟัน เราจะต้องเลือกทันตแพทย์ที่ผ่านการอบรมทางด้านการจัดฟันแบบใสโดยตรง และต้องผ่านการรับรองจากทาง Invisalign เพื่อให้ทันตแพทย์สามารถให้บริการด้านการจัดฟันแบบใสได้อย่างถูกต้องตามหลักสากล เพื่อที่จะได้รับการรักษาตามมาตรฐานของ Invisalign สำหรับการเลือกทันตแพทย์เราสามารถค้นหาข้อมูลทันตแพทย์ที่เรามั่นใจได้ทางออนไลน์ โดยที่ไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ถือว่าสะดวกสบายมาก เพื่อให้เราได้มั่นใจจริงๆว่า ทันตแพทย์ที่เรามั่นใจนั้น ได้ผ่านการรับรองจากทาง Invisalign แล้วจริงๆ นอกจากจะเป็นการได้เลือกทันตแพทย์แล้ว ยังช่วยรักษาในเรื่องของปลอดภัยได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม เราต้องเลือกสถานการบริการที่มั่นใจมีเครื่องมือที่มีมาตรฐานครบถ้วนด้วย

ทั้งนี้ หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันด้วยการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์มาอย่างยาวนาน เพื่อให้ผู้เข้ารับการจัดฟันได้รับการบริการที่มีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ทางคลินิกรายังได้รับรองสูงสุดจาก invisalign ให้สามารถให้บริการการจัดฟันแบบใสได้อย่างตามมาตรฐานสากล จึงมั่นใจได้ว่า คุณจะมีฟันที่สวยงาม ช่วยส่งเสริมให้มีบุคลิกภาพที่มั่นใจ มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่แข็งแรง เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ ทำให้กลับมามีความมั่นใจได้อีกครั้ง

13
ใช้รถเฮี๊ยบ ยก ย้าย ง่ายกว่าที่คิด กับ รถหกล้อรับจ้างภูเก็ต

หลายคนที่เคยมีประสบการณ์ขนย้ายของชิ้นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร วัสดุก่อสร้าง หรือตู้คอนเทนเนอร์ และอาจเคยเจอปัญหาว่า “ของชิ้นนี้หนักเกินไป จะยกยังไง?” หรือ “ต้องจ้างเครนใหญ่ๆ มาไหม?” ซึ่งในความจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น เพราะมี รถเฮี๊ยบ (Truck Crane) ตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การยกและขนย้ายของเป็นเรื่องง่าย สะดวก รวดเร็ว และคุ้มค่า วันนี้เราจะพาไปรู้จักรถเฮี๊ยบให้ลึกขึ้น พร้อมอธิบายข้อดี ข้อเสีย และแนะนำบริการ รถรับจ้างภูเก็ต ที่มีรถเฮี๊ยบพร้อมให้บริการ


รถเฮี๊ยบคืออะไร?

รถเฮี๊ยบ หรือที่บางคนเรียกว่า รถบรรทุกติดเครน คือรถบรรทุกที่มีการติดตั้งเครนไฮดรอลิกไว้บนตัวรถ สามารถยกของหนักขึ้น-ลง และขนส่งไปยังจุดหมายปลายทางได้ในคันเดียว ไม่ต้องจ้างรถเครนแยกต่างหากให้สิ้นเปลืองงบประมาณ

เครนของรถเฮี๊ยบมีหลายขนาด ตั้งแต่ 3 ตัน 5 ตัน ไปจนถึง 10 ตัน ทำให้รองรับการขนย้ายของได้หลากหลาย ตั้งแต่เครื่องจักรขนาดกลางไปจนถึงโครงสร้างเหล็ก วัสดุก่อสร้าง หรือแม้แต่บ้านน็อคดาวน์ ก็สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัยค่ะ


ข้อดีของการใช้รถเฮี๊ยบ

    ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย หากต้องจ้างทั้ง รถบรรทุก และรถเครนแยกกัน ค่าใช้จ่ายจะสูงและยุ่งยาก แต่รถเฮี๊ยบทำได้ครบในคันเดียว ทั้งยกและขน ทำให้ลดต้นทุนไปได้มาก
    ยืดหยุ่นในการใช้งาน รถเฮี๊ยบเหมาะทั้งงานยกของในไซต์งานก่อสร้าง งานติดตั้งเสาไฟ งานยกเครื่องจักรลงจากท่าเรือ หรือแม้แต่การย้ายของขนาดใหญ่ไปตามบ้านหรือโกดัง
    ใช้งานในพื้นที่จำกัดได้ เครนของรถเฮี๊ยบมีการปรับหมุนและยืดหดได้ จึงสามารถทำงานในพื้นที่แคบได้ดีกว่าเครนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้พื้นที่เยอะค่ะ
    ปลอดภัยกว่าแรงงานคน ของหนักหลายร้อยกิโลกรัม หากใช้แรงงานคนยก อาจเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ แต่รถเฮี๊ยบช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัยทั้งต่อคนและสิ่งของ
    เหมาะสำหรับงานเร่งด่วน หากมีงานที่ต้องขนย้ายด่วน รถเฮี๊ยบรับจ้างขนของ สามารถเข้าไปยกของขึ้นรถและขนส่งได้ทันที ไม่ต้องรอคิวเครนใหญ่


ข้อเสียของการใช้รถเฮี๊ยบ

แม้ว่ารถเฮี๊ยบจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่างที่ควรรู้ก่อนเลือกใช้

    น้ำหนักและระยะยกจำกัด รถเฮี๊ยบไม่สามารถยกของหนักระดับหลายสิบตันได้เหมือนเครนใหญ่ ระยะยกก็มีข้อจำกัด ไม่เหมาะสำหรับการยกในระดับตึกสูงหลายชั้น
    ต้องใช้พื้นที่สำหรับกางขาเฮี๊ยบ เวลาทำงาน รถเฮี๊ยบต้องกางขาเพื่อรักษาสมดุล หากพื้นที่หน้างานคับแคบจนเกินไป อาจมีปัญหาในการทำงาน
    ต้องใช้คนขับที่มีประสบการณ์ การควบคุมเฮี๊ยบต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ หากใช้ผู้ที่ไม่ชำนาญ อาจเสี่ยงทำให้ของเสียหายหรือเกิดอันตรายได้


เลือกใช้รถเฮี๊ยบกับใครดี?

เมื่อรู้แล้วว่ารถเฮี๊ยบมีข้อดีมากมาย แต่จะเลือกใช้ บริการรถรับจ้าง จากที่ไหนก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ หากเลือกผู้ให้บริการที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจทำให้ของเสียหาย หรือเสียเวลาเกินจำเป็น ดังนั้นการเลือกบริษัทที่มีประสบการณ์จริงคือสิ่งที่ควรให้ความสำคัญค่ะ
รถรับจ้างภูเก็ต – ตัวจริงเรื่องรถเฮี๊ยบ

หากคุณอยู่ในจังหวัดภูเก็ตหรือพื้นที่ใกล้เคียง แล้วต้องการบริการรถเฮี๊ยบที่เชื่อถือได้ ขนส่ง คือหนึ่งในผู้ให้บริการที่น่าไว้วางใจ รถรับจ้างภูเก็ต เพราะที่นี่มีทั้งทีมงานมืออาชีพและรถเฮี๊ยบหลายขนาด พร้อมให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของงาน

ทำไมต้องเลือกขนส่ง?

    มีประสบการณ์ขนย้ายทั้งงานเล็กและงานใหญ่
    รถเฮี๊ยบสภาพดี ผ่านการตรวจเช็กอย่างสม่ำเสมอ
    คนขับและทีมงานมีความชำนาญ ใช้งานเฮี๊ยบได้ปลอดภัย
    ราคาเหมาะสม ไม่บวกเกินจริง
    พร้อมให้บริการทั้งในภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง

งานที่เหมาะกับการใช้บริการรถเฮี๊ยบจากขนส่ง

    ยกเครื่องจักรเข้าหรือออกจากโรงงาน
    ยกตู้คอนเทนเนอร์หรือตู้สำนักงาน
    ย้ายบ้านน็อคดาวน์หรือโครงสร้างเหล็ก
    ยกเสาไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์งานโครงการต่างๆ
    บริการขนย้ายที่ต้องการความรวดเร็วและปลอดภัย

รถเฮี๊ยบรับจ้างภูเก็ต ถือเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้งานยกและขนย้ายของขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ด้วยความสามารถที่ครบเครื่องในคันเดียว ทั้งยกและขน ทำให้ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และลดความเสี่ยงได้มาก หากคุณอยู่ในภูเก็ตและกำลังมองหาผู้ให้บริการรถเฮี๊ยบที่ไว้ใจได้ แนะนำให้ติดต่อ รถรับจ้างภูเก็ต พร้อมดูแลงานขนย้ายของคุณทุกขั้นตอนอย่างมืออาชีพ

14
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: หัดเยอรมัน (Rubella)

หัดเยอรมัน (Rubella) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส และสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ รวมไปถึงผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ที่เป็นโรคหัดเยอรมัน ก็สามารถส่งผ่านเชื้อทางกระแสเลือดจากแม่สู่เด็กทารกในครรภ์ได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กทารกได้หลายประการเลยทีเดียว

โดยทั่วไป โรคหัดเยอรมันสามารถติดต่อถึงกันได้ง่ายผ่านทางการการไอ การจาม การสูดเอาเชื้อที่อยู่ในอากาศเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสจากผู้ป่วย โรคหัดเยอรมันมีความคล้ายคลึงกับโรคหัด (Measles Rubeola) ซึ่งมักทำให้เกิดผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ไข้ขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต แต่โรคหัดเยอรมันเป็นการติดเชื้อไวรัสคนละชนิดกัน และมักมีความรุนแรงของโรคน้อยกว่า

อาการของหัดเยอรมัน

อาการของหัดเยอรมันที่สามารถสังเกตเห็นได้ในช่วงแรกค่อนข้างมีอาการคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ซึ่งหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1–2 วัน ผู้ป่วยมักจะเริ่มมีอาการดังนี้

    มีไข้ต่ำถึงปานกลาง ประมาณ 37.2–37.8 องศาเซลเซียส
    ต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะบริเวณคอ ท้ายทอย และหลังหู
    มีตุ่มนูนหรือผื่นแดงขึ้นกระจายตัวบริเวณใบหน้าก่อนจะลามไปยังผิวหนังส่วนอื่น เช่น แขน ขา และจะค่อย ๆ หายไปภายใน 3 วัน โดยไม่ค่อยทิ้งรอยแผลจากผื่นไว้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคันตามผิวหนังร่วมด้วย

อาการอื่น ๆ ที่สามารถพบได้ทั่วไป โดยมักเกิดขึ้นกับวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ เช่น

    ปวดศีรษะ
    คัดจมูก น้ำมูกไหล
    ไม่อยากอาหาร
    เยื่อบุตาอักเสบ ทำให้ตาแดง
    ปวดข้อ ข้อต่อบวม
    ต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายมีอาการบวม

ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีอาการของโรคก็ได้เช่นกัน และอาการของโรคที่เกิดในเด็กมักจะร้ายแรงน้อยกว่าอาการที่เกิดขึ้นในผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรค อย่างไรก็ตาม อาการของโรคจะคงอยู่แค่ประมาณ 2–3 วัน ยกเว้นในกรณีที่ต่อมน้ำเหลืองมีอาการบวมอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์ ดังนั้น หากพบอาการข้างต้นเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์

สาเหตุของหัดเยอรมัน

โรคหัดเยอรมันเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชื่อรูเบลลา ไวรัส (Rubella Virus) ที่อยู่ในน้ำมูกหรือน้ำลายของผู้ป่วย ซึ่งสามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ง่ายโดยการไอ การจาม การสูดเอาเชื้อที่อยู่ในอากาศเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงการใช้สิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสจากผู้ป่วย นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์สามารถส่งผ่านเชื้อให้แก่ทารกในครรภ์ผ่านทางกระแสเลือดได้ด้วย

ระยะการฟักตัวของโรคหัดเยอรมันจะอยู่ในช่วง 14–23 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 16–18 วัน ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ตั้งแต่มีเชื้อในร่างกายแม้จะไม่มีอาการแสดงออกมา ไปจนถึงหลังอาการผื่นขึ้นตามร่างกายหายไปประมาณ 2–3 สัปดาห์เลยทีเดียว

การวินิจฉัยหัดเยอรมัน

หากแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหัดเยอรมัน ในเบื้องต้นจะมีการสอบถามข้อมูลทั่วไป เช่น อาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ประวัติการติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้หรือผู้ที่มีผื่นขึ้น และตรวจตามร่างกายว่ามีผื่นขึ้นหรือไม่ จากนั้นจะมีการตรวจน้ำลายและการตรวจเลือด เพื่อช่วยยืนยันผลการติดเชื้ออีกครั้ง โดยรายละเอียดการตรวจน้ำลายและการตรวจเลือด มีดังนี้

การตรวจน้ำลายและการตรวจเลือด (Saliva & Blood Test)

แพทย์จะตรวจหาสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี (Antibodies) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อมีเชื้อโรค สารพิษ หรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย โดยแพทย์จะเก็บตัวอย่างน้ำลายภายในช่องปากหรือตัวอย่างเลือดของผู้ป่วย แล้วนำไปตรวจหาสารภูมิต้านทานจำเพาะต่อโรคหัดเยอรมัน ได้แก่ สารภูมิต้านทานชนิดเอ็ม (IgM Antibody) และสารภูมิต้านทานชนิดจี (IgG Antibody)

การตรวจหาสารภูมิต้านทานจำเป็นต้องได้รับการตรวจ 2 ครั้ง โดยตรวจครั้งแรกเมื่อมีอาการ และตรวจอีกครั้งหลังจากการตรวจครั้งแรกประมาณ 2–3 สัปดาห์ ซึ่งผลการตรวจหาสารภูมิต้านทานจะแตกต่างกันออกไป และสามารถวินิจฉัยโรคได้ดังนี้

    หากตรวจไม่พบสารภูมิต้านทานชนิดจี แสดงว่าบุคคลนั้นมีแนวโน้มว่าไม่เคยได้รับเชื้อไวรัสหรือเคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันแต่ไม่สามารถป้องกันเชื้อได้
    หากตรวจพบสารภูมิต้านทานชนิดจี แต่ไม่พบสารภูมิต้านทานชนิดเอ็ม แสดงว่าผู้ป่วยเคยติดเชื้อไวรัสหรือเคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันมาก่อน
    หากตรวจพบสารภูมิต้านทานชนิดเอ็ม โดยอาจพบสารภูมิต้านทานชนิดจีหรือไม่พบก็ได้ แสดงว่าเกิดการติดเชื้อไวรัสขึ้นมาใหม่ ซึ่งระดับของโปรตีนชนิดนี้จะเพิ่มมากขึ้นในระยะเวลา 7–10 วันหลังการติดเชื้อ และจะค่อย ๆ ลดระดับลง
    ในกรณีที่ตรวจไม่พบสารภูมิต้านทานชนิดใดเลย แสดงว่ายังไม่เคยเกิดการติดเชื้อและยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันมาก่อนเช่นกัน ซึ่งอาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคขึ้นได้ในอนาคตหากได้รับเชื้อ
    สำหรับทารกแรกเกิด หากตรวจพบสารภูมิต้านทานชนิดเอ็ม แสดงว่าได้รับเชื้อในขณะที่มารดากำลังตั้งครรภ์

การรักษาหัดเยอรมัน

โรคหัดเยอรมันมักมีอาการไม่รุนแรงและจะดีขึ้นเองภายใน 7–10 วัน การรักษาโรคไม่มีวิธีที่เฉพาะเจาะจง แต่จะเน้นรักษาตามอาการเป็นหลัก โดยแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองที่บ้านเพื่อช่วยบรรเทาอาการ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและบรรเทาอาการไอ หลีกเลี่ยงในการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ และควรหยุดเรียนหรือหยุดทำงานสักระยะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

หากมีไข้สูงแพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาในกลุ่มยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือยาไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) เพื่อช่วยลดไข้ บรรเทาอาการปวดหัว และอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว แต่ผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาแอสไพริน (Aspirin) หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา และหากไข้ยังไม่ลดอาจเช็ดตัวเพื่อช่วยลดอุณหภูมิของร่างกายร่วมด้วย

หากผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์ แพทย์อาจรักษาด้วยการให้สารภูมิต้านทานที่ชื่อว่าไฮเปอร์ฮีมูน กลอบูลิน (Hyperimmune Globullin) เพื่อต้านเชื้อไวรัสและบรรเทาอาการของโรคให้ดีขึ้น แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่ทารกจะได้รับเชื้อจากมารดาได้ จึงอาจต้องมีการพบแพทย์เป็นระยะควบคู่ไปด้วย

ภาวะแทรกซ้อนของหัดเยอรมัน

โรคหัดเยอรมันไม่ค่อยพบภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เนื่องจากผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคหัดเยอรมันแล้วหรือได้รับการฉีดวัคซีนหัด–หัดเยอรมัน–คางทูม (Measles–Mumps–Rubella: MMR) จะทำให้มีภูมิต้านทานโรคนี้ไปตลอดชีวิต

แต่ในบางรายก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ เช่น โรคข้ออักเสบที่นิ้ว ข้อมือ และหัวเข่าที่พบเฉพาะในเพศหญิง การติดเชื้อที่หูจนกลายเป็นหูน้ำหนวก การอักเสบของสมองจนพัฒนาเป็นโรคไข้สมองอักเสบ หรือโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดในทารกเมื่อมารดาติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์

โรคหัดเยอรมันแต่กำเนิด (Congenital Rubella Syndrome)

หากทารกได้รับเชื้อหัดเยอรมันจากมารดาผ่านทางกระแสเลือด อาจทำให้ทารกที่คลอดออกมาเกิดความผิดปกติทางร่างกาย เช่น พัฒนาการช้า มีความความบกพร่องทางสติปัญญา หูหนวก เป็นโรคต้อกระจกหรือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด การทำงานของตับ ม้ามและไขกระดูกมีปัญหา ขนาดศีรษะเล็ก และสมองไม่พัฒนา

ในบางรายอาจมีการพัฒนาความผิดปกติในตอนโตขึ้น เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ภาวะต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมากว่าปกติหรือน้อยผิดปกติ อาการสมองบวมจนอาจทำให้สูญเสียการควบคุมร่างกาย นอกจากนี้ ทารกจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดเพิ่มมากขึ้น หากเกิดการติดเชื้อในขณะที่อายุครรภ์น้อย โดยเฉพาะในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ดังนี้

    การติดเชื้อในช่วง 10 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ทารกมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดสูงถึง 90% และมักจะเกิดความผิดปกติในการทำงานหลายส่วนของร่างกาย
    การติดเชื้อในช่วงสัปดาห์ที่ 11–16 ของการตั้งครรภ์ ทารกมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดลดลงมาอยู่ที่ 10–20% และแนวโน้มในการเกิดความผิดปกติน้อยลง
    การติดเชื้อในช่วงสัปดาห์ที่ 17–20 ของการตั้งครรภ์ ทารกมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดค่อนข้างน้อย และมีรายงานพบเพียงแค่เกิดอาการหูหนวกเท่านั้น
    การติดเชื้อเกิดหลังสัปดาห์ที่ 20 ของการตั้งครรภ์เป็นต้นไป ทารกจะไม่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิด

การป้องกันหัดเยอรมัน

โรคหัดเยอรมันสามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงในการคลุกคลีกับผู้ป่วย ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ และควรมีการฉีดวัคซีนหัด–หัดเยอรมัน–คางทูม หรือเรียกสั้น ๆ ว่าวัคซีนรวมเอ็มเอ็มอาร์ (MMR) ตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งการฉีดวัคซีนอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงในบางราย เช่น อาการบวมแดงหรือระบมบริเวณที่ฉีด มีไข้ต่ำ ปวดตามข้อ แต่ส่วนใหญ่ไม่อันตรายและอาการจะดีขึ้นภายในไม่กี่วัน

การฉีดวัคซีนรวมเอ็มเอ็มอาร์จะฉีดทั้งหมด 2 เข็ม โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อเด็กมีอายุระหว่าง 9–12 เดือน และฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่อเด็กอายุ 2 ปี 6 เดือน แต่ในบางรายที่มีความเสี่ยงสูง เช่น อยู่ในพื้นที่มีการระบาดของโรค สัมผัสกับโรค หรือต้องเดินทางไปต่างประเทศ

แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดวัคซีนเร็วขึ้นภายในช่วง 6 เดือนแรก และฉีดเข็มที่ 2 ภายในอายุ 2 ปี 6 เดือน แต่ควรเว้นระยะห่างจากเข็มแรกประมาณ 3 เดือน

ผู้ที่วางแผนจะมีบุตรควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันอย่างน้อย 1 เดือนก่อนการตั้งครรภ์ แต่หากไม่ได้รับวัคซีนก่อนการตั้งครรภ์ควรได้รับทดแทนหลังคลอด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคเมื่อเกิดการตั้งครรภ์ในครั้งต่อไป และเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดกับทารกในครรภ์ สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ควรเข้ารับการตรวจเลือดหรือระบบภูมิคุ้มกันตามนัดฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเฝ้าระวังความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น

แม้ว่าวัคซีนจะเป็นการป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่บุคคลบางกลุ่มควรปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายขึ้นได้ เช่น ผู้ที่มีอาการแพ้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มนีโอมัยซิน (Neomycin) แพ้เจลาติน (Gelatin) ผู้ป่วยโรคมะเร็ง และผู้ที่มีความผิดปกติของเลือด หรืออยู่ในช่วงการรับประทานยาบางชนิดที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

15
การทำอาหารไทยง่ายๆสร้างอาชีพได้ แนวทางอาหารไทยสุดคลาสสิกสร้างอาชีพได้

อาหารไทยเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลกด้วยรสชาติที่เข้มข้น กลิ่นหอมของเครื่องเทศและรสชาติที่สมดุลของรสหวาน เปรี้ยว เค็มและเผ็ด หากคุณกำลังมองหาวิธีง่ายๆ ในการเริ่มต้นธุรกิจอาหาร การทำอาหารไทยแบบง่ายๆ ถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม ต่อไปนี้คือสูตรอาหารไทยคลาสสิกบางส่วนที่เตรียมง่าย ใช้ส่วนผสมเพียงเล็กน้อยและสามารถเปลี่ยนเป็นธุรกิจอาหารที่ทำกำไรได้

การทำอาหารไทยง่ายๆ สร้างอาชีพได้นั้นเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะอาหารไทยเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของคนทั่วโลก หากคุณมีความสนใจที่จะเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทย นี่คือแนวทางและเมนูอาหารที่น่าสนใจที่คุณสามารถนำไปพิจารณาได้

แนวทางการสร้างอาชีพจากอาหารไทยง่ายๆ:
เลือกลงทุนกับเมนูยอดนิยม: ศึกษาเมนูอาหารไทยที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการของตลาด เน้นเมนูที่ทำง่าย วัตถุดิบหาได้สะดวก และมีต้นทุนไม่สูง

สร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์: ปรับสูตรอาหารให้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นำเสนอเมนูอาหารในรูปแบบที่น่าสนใจและสร้างสรรค์ เน้นใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและสดใหม่

ช่องทางการขายที่หลากหลาย: ขายอาหารผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ต่างๆเปิดร้านอาหารขนาดเล็ก หรือทำอาหารแบบเดลิเวอรี่ส่งถึงบ้าน ออกร้านขายอาหารตามตลาดนัด หรือเทศกาลต่างๆ

การตลาดและประชาสัมพันธ์: สร้างแบรนด์และเรื่องราวของร้านให้เป็นที่น่าจดจำ ใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการโปรโมทร้านและเมนูอาหารสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและรับฟังความคิดเห็นเพื่อปรับปรุง

ต่อไปนี้คือสูตรอาหารไทยคลาสสิกบางส่วนที่เตรียมง่ายใช้ส่วนผสมเพียงเล็กน้อย
1. ผัดไทย
ผัดไทยเป็นอาหารไทยที่โด่งดังที่สุดอย่างหนึ่ง ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับธุรกิจอาหาร ผัดไทยปรุงง่าย และไม่ต้องใช้วัตถุดิบราคาแพง
วัตถุดิบ:
เส้นก๋วยเตี๋ยว
ไข่
กุ้ง หรือ เต้าหู้
ถั่วงอก
ต้นหอม
ถั่วลิสงบด
น้ำมะขามเปียก
น้ำปลา
น้ำตาลมะพร้าว
เหตุใดจึงเป็นแนวคิดทางธุรกิจที่ดี: ผัดไทยเป็นอาหารริมทางที่ได้รับความนิยมทั่วโลก และคุณสามารถขายได้ตามตลาดอาหาร รถขายอาหาร หรือทางออนไลน์เพื่อจัดส่ง

2. ข้าวผัด
ข้าวผัดไทยเป็นเมนูง่ายๆ แต่แสนอร่อยที่สามารถทำได้ด้วยโปรตีนหลายประเภท เช่น ไก่ กุ้ง หรือปู
วัตถุดิบ:
ข้าวหอมมะลิหุงสุก
ไข่
กระเทียม
หัวหอม
ซีอิ๊วขาว
น้ำปลา
ต้นหอม
มะนาวและแตงกวาสำหรับตกแต่ง
เหตุใดจึงเป็นแนวคิดทางธุรกิจที่ดี:
ข้าวผัดเป็นอาหารจานเดียวที่สามารถทำเสร็จได้รวดเร็ว จึงเหมาะกับการซื้อกลับบ้านหรือจัดส่งถึงบ้าน

3. ส้มตำ
ส้มตำคือส้มตำเขียวสดๆ รสเผ็ดจัด เป็นที่ชื่นชอบในหมู่ผู้ชื่นชอบอาหารไทย
วัตถุดิบ:
มะละกอดิบหั่นฝอย
มะเขือเทศเชอร์รี่
ถั่วเขียว
กระเทียม
พริก
น้ำปลา
น้ำมะนาว
น้ำตาลมะพร้าว
ถั่วลิสงคั่ว
เหตุใดจึงเป็นแนวคิดทางธุรกิจที่ดี: ส้มตำถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะส้มตำเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่สดชื่น ปรุงง่าย และเข้ากันได้ดีกับเนื้อย่างหรือข้าวเหนียว

4. ไก่ทอด
ไก่ทอดสไตล์ไทยนั้นกรอบ อร่อย และทำง่าย จึงเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน และสามารถขายตามแผงขายอาหารหรือจัดส่งถึงบ้านได้
วัตถุดิบ:
ปีกไก่หรือน่องไก่
กระเทียม
รากผักชี
น้ำปลา
ซีอิ๊วขาว
แป้งข้าวเจ้า
น้ำมันสำหรับทอด
เหตุใดจึงเป็นแนวคิดทางธุรกิจที่ดี: ไก่ทอดเป็นที่ต้องการอยู่เสมอ และไก่ทอดสไตล์ไทยมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้แตกต่างจากไก่ทอดทั่วไป

5. ต้มยำกุ้ง
ต้มยำกุ้งเป็นซุปไทยที่มีรสชาติกลมกล่อม เผ็ด เปรี้ยว และมีกลิ่นหอม
วัตถุดิบ:
กุ้ง
ตะไคร้
ใบมะกรูด
ข่า
น้ำพริก
น้ำมะนาว
น้ำปลา
เห็ด

เหตุใดจึงเป็นแนวคิดทางธุรกิจที่ดี: ต้มยำถือเป็นเมนูยอดนิยมที่สามารถขายเป็นอาหารจานเดียวหรือเป็นเซ็ตพร้อมข้าวก็เหมาะมากสำหรับร้านอาหารหรือธุรกิจจัดส่ง

เคล็ดลับการเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทย
เริ่มต้นเล็กๆ:คุณสามารถเริ่มต้นโดยการขายอาหารจากที่บ้าน ในตลาด หรือผ่านแพลตฟอร์มการจัดส่งออนไลน์
เน้นที่อาหารจานเดียวหรือสองจาน:การเชี่ยวชาญในรายการเพียงไม่กี่รายการทำให้การปรับปรุงสูตรอาหารให้สมบูรณ์แบบได้ง่ายขึ้นและดึงดูดลูกค้าประจำได้
ใช้ส่วนผสมสดใหม่:อาหารไทยต้องใช้ส่วนผสมที่สดและมีรสชาติดี การเลือกใช้ส่วนผสมที่มีคุณภาพสูงจะช่วยสร้างความแตกต่าง
โปรโมทบนโซเชียลมีเดีย:ถ่ายรูปอาหารของคุณสวยๆ และโพสต์บน Facebook, Instagram และ TikTok เพื่อดึงดูดลูกค้า
เสนอการปรับแต่ง:ให้ลูกค้าเลือกระดับความเผ็ดหรือเพิ่มท็อปปิ้งพิเศษเพื่อทำให้จานอาหารน่ารับประทานมากขึ้น

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก ด้วยอาหารไทยง่ายๆ เหล่านี้ คุณสามารถเปลี่ยนทักษะการทำอาหารของคุณให้กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ ไม่ว่าคุณจะขายที่บ้าน รถเข็นขายอาหาร หรือร้านอาหาร อาหารไทยก็เป็นที่ต้องการอยู่เสมอ

หน้า: [1] 2 3 ... 74