แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 67
1
บอร์ดโพสเว็บบอร์ดsmf / อาหารสายยาง ควรให้บ่อยหรือไม่
« เมื่อ: วันที่ 30 มิถุนายน 2025, 18:09:12 น. »
อาหารสายยาง ควรให้บ่อยหรือไม่

การได้รับสารอาหารและน้ำมีผลต่อร่างกายของเรา ซึ่งจะต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งมีความจำเป็นและสำคัญต่อการมีชีวิตอยู่ โดยปริมาณและคุณค่าของอาหารมีผลต่อร่างกายการได้รับอาหารน้อยหรือไม่ มีประโยชน์ก็จะส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรงและได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงพอ นอกจากนี้อาหารคุณมีสุขลักษณะที่ดี มีความสะอาดปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือการติดโรคต่างๆ รวมไปถึงส่งผลให้การเจ็บป่วยเรื้อรังนั้น มีอาการที่แย่ลงด้วย รวมไปถึงอาหารที่ต้องให้ทางสายยางกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ตามปกติ อาจจะมีระบบย่อยอาหารและการดูดซึมอาหารที่ยังสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องมีความสะอาดปลอดภัยและมีสารอาหารคุณประโยชน์ที่มีความเพียงพอต่อความ ต้องการของร่างกายผู้ป่วย หลายคนเคยสงสัยว่าอาหารทางสายยางนั้น มีอันตรายหรือไม่และควรให้อาหารทางสายอย่างอย่างต่อเนื่องมากน้อยแค่ไหน

วันนี้อาหารปั่นผสม เราจะมาพูดถึงเรื่องของอาหารปั่นผสมว่าควรให้กับผู้ป่วยบ่อยหรือไม่ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าอาหารปั่นผสมนั้นจะต้องมีการกำหนดในเรื่องของปริมาณและสารอาหารที่ผู้ป่วยจะได้รับอย่างเพียงพอในอาหาร จะต้องประกอบด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับร่างกายของผู้ป่วยเพราะผู้ป่วยบางรายป่วยเป็นโรคที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งอาหารการกินที่จะได้รับนั้นก็ย่อมแตกต่างกันด้วย

สำหรับการให้ อาหารทางสายยาง นั้น คือการให้อาหารแก่ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ โดยการใช้สายยางให้อาหารส่งตรงไปยังกระเพาะอาหารโดยไม่ผ่านการกลืนและอาหารที่มักจะเป็นอาหารที่สามารถย่อยง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน การให้อาหารทางสายอย่างในแต่ละวันนั้น นักโภชนาการจะทำการคำนวณให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายผู้ป่วย

รวมถึงกำหนดปริมาณอาหารในแต่ละวันเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารอย่างปลอดภัยและพอดี สำหรับผู้ป่วยที่ต้องนำกลับไปดูแลที่บ้าน ผู้ดูแลหรือญาติอาจมีคำถามในเรื่องของรายละเอียดเกี่ยวกับการให้อาหารทางสายอย่างแกผู้ป่วยในเรื่องของปริมาณในเรื่องของสารอาหารที่จำเป็นว่าผู้ป่วยควรได้รับสารอาหารในปริมาณเท่าใดรวมไปถึงสารอาหารจะต้องมีสารอาหารอะไรเป็นส่วนประกอบบ้าง และต้องนำอาหารปั่นผสมไปให้ผู้ป่วยบ่อยแค่ไหน ซึ่งต้องบอกก่อนว่าการให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วย อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นว่า นักโภชนาการจะเป็นผู้กำหนดว่าผู้ป่วยควรที่จะได้รับสารอาหารในปริมาณเท่าใดและบ่อยมากน้อยแค่ไหน

สำหรับความบ่อยที่ต้องให้อาหารทางสายยางนั้น ผู้ป่วย จะต้องได้รับในปริมาณที่เหมาะสมซึ่งอาจจะแบ่งได้เป็น 4 มื้อ ซึ่งโดยปกติแล้วคนเราควรที่จะรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อต่อวัน แต่ในกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายอย่างนั้นอาจจะแบ่งได้เป็น 4 มื้อ เนื่องจากการให้อาหารในแต่ละครั้งนั้นอาจจะส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกแน่นท้องหรืออาจจะมีอาการผิดปกติ เนื่องจากได้รับสารอาหารที่มากเกินไปและมีระบบย่อยอาหารที่ทำงานด้านไม่มีประสิทธิภาพมากนัก และเหตุผลที่ต้องให้อาหารผู้ป่วย 4 มื้อ ก็เนื่องจากให้ร่างกายผู้ป่วยได้ย่อยอาหารได้อย่างเต็มที่ก่อนที่จะได้รับอาหารมื้อต่อไป

นอกจากนี้ การให้อาหารผู้ป่วยก็มีปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการรับประทานอาหาร ในหลายปัจจัยที่มีผลต่อภาวะโภชนาการและพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้ป่วย โดยมีปัจจัยเช่น อายุ เมื่อผู้ป่วยมีอายุมากขึ้นระบบการย่อยอาหารก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากสภาวะปกติ ซึ่งทำให้มีผลต่อระบบการย่อยอาหารต่อมาคือ วัฒนธรรม ซึ่งวัฒนธรรมของคนไทยนั้น ก็มีผลเช่นกัน การเลือกรับประทานอาหารและการเตรียมอาหาร

นอกจากนี้การเลือกรับประทานอาหารหรือการเตรียมอาหารนั้น บ่อยครั้งก็เป็นผลมาจากศาสนา ซึ่งส่วนมากจะเลือกอาหารตามความเชื่อของตนเอง ดังนั้นผู้ดูแลจะต้องยอมรับในความเชื่อของแต่ละบุคคลด้วย เช่นผู้ที่ นับถือศาสนาอิสลาม อาจจะไม่รับประทานเนื้อหมูหรือบางคนอาจจะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ความอยากอาหารก็ส่งผลต่อความต้องการการได้รับสารอาหารเช่นกัน อย่างไรก็ตามความเบื่อหานั้นเกิดได้จากภาวะความเจ็บป่วยยาและภาวะความวิตกกังวล ความปวดและภาวะซึมเศร้า ซึ่งส่วนมากผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุมักจะมีภาวะความเบื่อหารมากขึ้น

จากการรับรสและการรับกินที่ลดลงจึงต้องมีความจำเป็นต้องให้อาหารทางสายยาง และสุดท้ายคือภาวะความเจ็บป่วยซึ่งความอยากอาหารมักจะลดลงเมื่อเกิดความเจ็บป่วยหรือการฟื้นตัวภายหลังจากการได้รับการผ่าตัด แต่ภาวะเหล่านี้เป็นภาวะที่ควรได้รับสารอาหารที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากร่างกายต้องต่อสู้กับการติดเชื้อและมีความต้องการสารอาหารที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อจะได้นำไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายและยังสามารถชดเชยปริมาณเลือดที่สูญเสียไปได้อีกด้วย แม้การสูญเสียสารอาหารจากการอาเจียนหรือท้องเสียก็มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการชดเชยด้วยยาบางชนิดจึงทำให้มีผลต่อการเกิดแผลในปากทำให้เกิดความเจ็บปวดขณะรับประทานอาหารนั่นเอง

2
วิธีสร้างรายได้จากอาหารจานโปรดของคุณด้วยการตลาดออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จได้

หากคุณหลงใหลในอาหาร ทำไมไม่ลองเปลี่ยนอาหารให้เป็นแหล่งรายได้ดูล่ะ ไม่ว่าคุณจะชอบทำอาหาร อบขนมหรือเพียงแค่เพลิดเพลินกับมื้ออาหารดีๆ การตลาดออนไลน์สามารถช่วยให้คุณสร้างธุรกิจเกี่ยวกับอาหารที่ประสบความสำเร็จได้ ด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้อง คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากและสร้างรายได้ที่มั่นคงได้

การเปลี่ยนความหลงใหลในอาหารให้กลายเป็นรายได้ด้วยการตลาดออนไลน์นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้จริงและมีหลากหลายวิธีที่คุณสามารถทำได้นี่คือวิธีเริ่มต้น

1. ระบุกลุ่มเป้าหมายของคุณ
อุตสาหกรรมอาหารนั้นกว้างใหญ่ ดังนั้นการค้นหามุมมองเฉพาะตัวของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ ช่องทางที่ทำกำไรได้ ได้แก่:
เบเกอรี่โฮมเมด (เค้ก คุกกี้ ขนมปัง)
บริการเตรียมอาหารเพื่อสุขภาพ
ของว่างรสเลิศหรืออาหารฝีมือช่าง
การเขียนบล็อกเกี่ยวกับอาหารหรือการสร้างสูตรอาหาร
บทเรียนสอนทำอาหารและคลาสเรียนออนไลน์
การเลือกช่องทางที่สอดคล้องกับความหลงใหลของคุณจะทำให้คุณมีแรงบันดาลใจและทำให้แบรนด์ของคุณโดดเด่น

2. สร้างการปรากฏตัวออนไลน์ของคุณ
หากต้องการทำการตลาดธุรกิจอาหารของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ คุณต้องมีตัวตนที่แข็งแกร่งทางออนไลน์ เริ่มต้นโดย:
การสร้างเว็บไซต์ – เว็บไซต์มืออาชีพจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเป็นสถานที่ให้ลูกค้าเรียนรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ
การใช้โซเชียลมีเดีย – แพลตฟอร์มอย่าง Instagram, TikTok และ Facebook เหมาะอย่างยิ่งในการนำเสนอภาพและวิดีโออาหารที่น่ารับประทาน
การเริ่มทำบล็อกเกี่ยวกับอาหาร – การแบ่งปันสูตรอาหาร เคล็ดลับการทำอาหาร และประสบการณ์เกี่ยวกับอาหารส่วนตัวสามารถดึงดูดผู้ชมและเพิ่มการมีส่วนร่วมได้

3. ใช้ประโยชน์จากการตลาดโซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดียเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการส่งเสริมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร วิธีใช้มีดังนี้:
โพสต์รูปถ่ายและวิดีโอที่มีคุณภาพสูง – ผู้คนมักรับประทานด้วยสายตา ดังนั้นควรลงทุนกับการถ่ายภาพที่ดี
มีส่วนร่วมกับผู้ติดตาม – ตอบกลับความคิดเห็น จัดการแข่งขัน และโต้ตอบกับลูกค้าที่มีศักยภาพ
ใช้แฮชแท็กอย่างมีกลยุทธ์ – แฮชแท็กเช่น #foodie #homemade และ #healthyrecipes ช่วยให้เนื้อหาของคุณเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น
ร่วมมือกับผู้มีอิทธิพล – การเป็นพันธมิตรกับผู้มีอิทธิพลในด้านอาหารสามารถขยายการเข้าถึงและดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ได้

4. ขายผลิตภัณฑ์ของคุณทางออนไลน์
หากคุณผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร โปรดพิจารณาขายออนไลน์ผ่านทาง:
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ – เว็บไซต์เช่น Shopify, Etsy และ Amazon ช่วยให้คุณขายอาหารทำเองที่บ้านได้
แอปจัดส่งอาหาร – หากคุณเสนออาหารพร้อมรับประทาน การเป็นพันธมิตรกับบริการเช่น UberEats หรือ DoorDash จะช่วยเพิ่มยอดขายได้
กล่องสมัครสมาชิก – กล่องสมัครรับอาหารรายเดือนสามารถสร้างรายได้ต่อเนื่องได้

5. สร้างรายได้จากเนื้อหาของคุณ
หากคุณสนใจการเขียนบล็อกเกี่ยวกับอาหาร การวิดีโอบล็อก หรือโซเชียลมีเดีย คุณสามารถสร้างรายได้จาก:
การตลาดแบบพันธมิตร – ส่งเสริมเครื่องมือในครัว ส่วนผสม หรือเครื่องครัว และรับคอมมิชชั่น
รายได้จากโฆษณา – แพลตฟอร์มเช่น YouTube และบล็อกอาหารสามารถสร้างรายได้ผ่านทางโฆษณาได้
โพสต์ที่ได้รับการสนับสนุน – แบรนด์อาจจ่ายเงินให้คุณเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ของพวกเขาในเนื้อหาของคุณ

6. ใช้การตลาดผ่านอีเมลเพื่อสร้างความภักดีของลูกค้า
การเพิ่มรายชื่ออีเมลทำให้คุณสามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง เสนอสูตรอาหารฟรี ส่วนลดพิเศษ หรือเคล็ดลับการทำอาหารเพื่อแลกกับการสมัครรับอีเมล การส่งจดหมายข่าวจะทำให้ผู้ติดตามของคุณมีส่วนร่วมและกระตุ้นให้เกิดการทำธุรกิจซ้ำ

การเปลี่ยนความรักที่มีต่ออาหารให้กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ง่ายกว่าที่เคยด้วยการตลาดออนไลน์ การเลือกช่องทาง สร้างตัวตนออนไลน์ ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย และสำรวจแหล่งรายได้ต่างๆ จะช่วยให้คุณสร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่ยั่งยืนได้ เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มุ่งมั่นต่อไป แล้วดูว่าความหลงใหลของคุณจะกลายเป็นกำไรหรือไม่

3
บ้านใหม่ 2025 ธนาพาร์ค พรีเว่ พระราม 5 - นครอินทร์ (Thana Park Prive Rama 5 - Nakhon In)
เริ่มต้น 5.99 ลบ. 

ธนาพาร์ค พรีเว่ พระราม 5 - นครอินทร์ (Thana Park Prive Rama 5 - Nakhon In)
บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 2 ชั้น สไตล์ Modern Tropical จาก ธนาสิริ บ้านโครงการใหม่กับคอนเซ็ปต์ Natural With New Life Of Peaceful "ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ กับ ชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความสงบ" โครงการที่เน้นธรรมชาติในการอยู่อาศัย มีต้นไม้ขนาดใหญ่ และสวนสาธารณะ ที่ร่มรื่นให้พักผ่อน ทำเลบนพื้นที่ พระราม 5 - นครอินทร์ ใกล้สถานที่สำคัญต่างๆ มากมาย

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ             ธนาพาร์ค พรีเว่ พระราม 5 - นครอินทร์ (Thana Park Prive Rama 5 - Nakhon In)
 เจ้าของโครงการ        ธนาสิริ กรุ๊ป
 แบรนด์ย่อย              ธนาพาร์ค
 ราคา                      เริ่มต้น 5.99 ลบ.

 ประเภทบ้าน            บ้านเดี่ยว, บ้านแฝด
 ลักษณะทำเล          บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ          5 ไร่ 1 งาน 12 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน             26 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด        5 แบบ
  เนื้อที่บ้าน              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน          4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ          ตั้งแแต่ 2 ถึง 3 คัน
 สาธารณูปโภค

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน         นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง         ถนนบางไผ่พัฒนา-แยกวัดตึก นนทบุรี 2008 แขวง/ตำบลบางศรีเมือง เขต/อำเภอ เมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 11000

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, สถานี(บางซื่อ - บางใหญ่)(แยกติวานนท์)
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, สถานี(บางซื่อ - บางใหญ่)(กระทรวงสาธารณสุข)
ใกล้ทางด่วน (ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ บางบำหรุ, ทางพิเศษศรีรัช หมอชิต)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ศูนย์การค้า/ไลฟ์สไตล์
1.Makro นครอินทร์ 2.4 กม.
2.Lotus นครอินทร์ 3.6 กม.
3.ตลาดครอบครัว สาขาบางกรวย 6.5 กม.
4.ตลาดคูล มาร์เก็ต บางกรวย 7.2 กม.
5.ตลาดชาวสยาม บางกรวย 7.2 กม.
6.The Walk ราชพฤกษ์ 7.4 กม.
7.ตลาดพระราม 5 10.5 กม.
8.Central Westville 10.7 กม.
9.Therystal SB ราชพฤกษ์ C 11.2 กม.
10.Home Pro ราชพฤกษ์ 12.2 กม.
11.ตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี 13 กม.
12.Central ปิ่นเกล้า 13.2 กม.


สถานศึกษา
1.โรงเรียนอุดมศึกษา 1.2กม.
2.โรงเรียนนานาชาติ ร่วมฤดี ราชพฤกษ์ 4.2 กม.
3.โรงเรียนสตรีนนทบุรี 4.3 กม.
4.มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ 5.8 กม.
5.มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ 5.8 กม.
6.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 6.2 กม.
7.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 6.2 กม.
8.โรงเรียนเด่นหล้าพระราม 5 10 กม.


โรงพยาบาล
1.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพวัดโชติการาม 3.3 กม.
2.โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าฯ 4.4 กม.
3.โรงพยาบาลอนันต์พัฒนา 7.1 กม.
4.โรงพยาบาลบางกรวย 7.1 กม.
5.โรงพยาบาลศูนย์บริการการแพทย์นนทบุรี 7.3 กม.
6.โรงพยาบาลยันฮี 8.1 กม.
7.โรงพยาบาลศรีสวรรค์ ราชพฤกษ์ 11.4 กม.
8.โรงพยาบาลตา หู คอ จมูก 12.8 กม.
9.โรงพยาบาลเจ้าพระยา 16.5 กม.

 ปีที่สร้างเสร็จ          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

4
การรับมือกับการสวมใส่เครื่องมือ EF LINE วันแรกๆ ของการจัดฟันเด็ก

การเริ่มต้นใส่เครื่องมือ EF LINE ในวันแรกๆ อาจเป็นเรื่องท้าทายทั้งกับเด็กและผู้ปกครองค่ะ เป็นเรื่องปกติที่เด็กจะรู้สึกไม่สบายตัว ไม่คุ้นชิน หรือแม้กระทั่งต่อต้านบ้างในช่วงแรก การเตรียมตัวและรู้วิธีรับมือจะช่วยให้กระบวนการปรับตัวเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น นี่คือข้อแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ


1. เตรียมตัวด้านจิตใจและสร้างความเข้าใจ

พูดคุยล่วงหน้า: ก่อนวันที่จะเริ่มใส่เครื่องมือ ให้พูดคุยกับลูกอีกครั้งเกี่ยวกับเครื่องมือ EF LINE อธิบายถึงเหตุผลที่ต้องใส่ (เช่น เพื่อให้ฟันสวย ยิ้มสวย หรือเคี้ยวอาหารได้ดีขึ้น) และอธิบายว่าจะรู้สึกอย่างไรบ้าง (อาจจะตึงๆ ไม่สบายปากบ้าง)

สร้างทัศนคติเชิงบวก: เน้นย้ำข้อดีของการใส่เครื่องมือ และชื่นชมความกล้าหาญของลูก สร้างความรู้สึกว่านี่คือการเดินทางที่น่าตื่นเต้น ไม่ใช่การลงโทษ

เป็นผู้ฟังที่ดี: เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความรู้สึกกังวลหรือไม่สบายใจ รับฟังอย่างเข้าใจและให้กำลังใจ


2. จัดการกับความรู้สึกไม่สบายตัวทางร่างกาย

เป็นเรื่องปกติที่เด็กจะรู้สึกไม่สบายตัวในช่วงแรกๆ ดังนี้:

ปวดตึง/รู้สึกแน่น:

อาหารอ่อน: ในช่วง 2-3 วันแรก ให้ลูกรับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ไม่ต้องเคี้ยวมาก เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป โยเกิร์ต ไข่ตุ๋น หรืออาหารบดละเอียด

ยาแก้ปวด: หากมีอาการปวดตึงมากจนรบกวน ให้ปรึกษาทันตแพทย์เรื่องการให้ยาแก้ปวดสำหรับเด็ก เช่น พาราเซตามอล

น้ำลายเยอะผิดปกติ:

เป็นเรื่องปกติ: ร่างกายจะตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมในปากโดยการผลิตน้ำลายมากขึ้น อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าเป็นเรื่องชั่วคราวและจะค่อยๆ ลดลงเมื่อคุ้นชิน

กลืนน้ำลาย: แนะนำให้กลืนน้ำลายตามปกติ ไม่ต้องบ้วนทิ้งบ่อยๆ

พูดไม่ชัด/ออกเสียงยาก:

ฝึกพูด: ชวนลูกคุย อ่านหนังสือออกเสียง หรือร้องเพลงบ่อยๆ ขณะใส่เครื่องมือ เพื่อให้ลิ้นและปากปรับตัวเข้ากับเครื่องมือ การฝึกบ่อยๆ จะช่วยให้พูดชัดขึ้นเร็ว

อดทนและให้กำลังใจ: อย่าตำหนิเมื่อลูกพูดไม่ชัด ให้กำลังใจและเข้าใจ

รู้สึกรำคาญ/คัน:

ใช้ขี้ผึ้งจัดฟัน (ถ้าทันตแพทย์แนะนำ): ในบางกรณีหากเครื่องมือสีกับเหงือกหรือเนื้อเยื่อในช่องปากจนเกิดแผล อาจปรึกษาทันตแพทย์เรื่องการใช้ขี้ผึ้งจัดฟันมาแปะตรงบริเวณที่ระคายเคือง

ความอดทน: อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าร่างกายต้องใช้เวลาปรับตัว


3. สร้างวินัยในการสวมใส่เครื่องมือ

กำหนดเวลาที่ชัดเจน: ทันตแพทย์จะบอกระยะเวลาที่ต้องใส่เครื่องมือในแต่ละวัน (เช่น 2-3 ชั่วโมงในตอนกลางวัน และตลอดคืนขณะนอนหลับ) คุณพ่อคุณแม่ควรช่วยกำหนดตารางเวลาและสร้างกิจวัตรให้ลูกทำตามอย่างสม่ำเสมอ

เริ่มจากน้อยไปมาก: หากลูกต่อต้านมาก อาจเริ่มจากการใส่ช่วงสั้นๆ ในตอนกลางวันก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นทีละน้อย เมื่อเด็กเริ่มคุ้นเคยและยอมรับ (แต่ต้องทำภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์)

สร้างแรงจูงใจ/รางวัลเล็กๆ: ให้คำชมเชยหรือรางวัลเล็กๆ เมื่อลูกให้ความร่วมมือในการใส่เครื่องมือตามกำหนด เช่น การ์ตูนเรื่องโปรด กิจกรรมที่ชอบ เพื่อเป็นกำลังใจ

หลีกเลี่ยงการต่อรอง: เมื่อตัดสินใจแล้วว่าต้องใส่ ก็ต้องสร้างความสม่ำเสมอ พยายามหลีกเลี่ยงการต่อรองหรือยอมให้ถอดก่อนเวลาอันควรบ่อยๆ


4. การดูแลและทำความสะอาดเครื่องมือ

ล้างทำความสะอาดทันทีที่ถอด: สอนลูกให้ล้างเครื่องมือด้วยน้ำเปล่าและแปรงสีฟันขนอ่อน (หรือแปรงสีฟันสำหรับฟันปลอม) ทันทีที่ถอดออก เพื่อกำจัดคราบน้ำลายและเศษอาหาร

เก็บในกล่องที่จัดมาให้: เมื่อไม่ใส่เครื่องมือ ควรเก็บในกล่องที่จัดมาให้เสมอ เพื่อป้องกันการสูญหายหรือเสียหาย

หลีกเลี่ยงน้ำร้อนจัด: ห้ามล้างเครื่องมือด้วยน้ำร้อนจัด เพราะอาจทำให้เครื่องมือเสียรูปทรงได้


5. การสื่อสารกับทันตแพทย์
แจ้งอาการผิดปกติ: หากลูกมีอาการปวดรุนแรง มีแผลในปากที่หายยาก เครื่องมือหักหรือหลวม ควรติดต่อทันตแพทย์ทันที เพื่อขอคำแนะนำหรือนัดหมายเข้าพบ

พบทันตแพทย์ตามนัด: การพบทันตแพทย์ตามนัดหมายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้ทันตแพทย์สามารถปรับเครื่องมือ ประเมินความคืบหน้า และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงที

การสวมใส่เครื่องมือ EF LINE ในช่วงแรกอาจต้องใช้ความอดทนจากทั้งสองฝ่าย แต่ด้วยความเข้าใจ การสื่อสารที่ดี และการสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่ จะช่วยให้ลูกน้อยผ่านพ้นช่วงการปรับตัวไปได้ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีของการจัดฟันในที่สุดค่ะ

5
รีไฟแนนซ์บ้าน 2568 ผ่านแน่ แค่ทำแบบนี้!

สำหรับ การรีไฟแนนซ์บ้าน ก็เปรียบเสมือนการขอสินเชื่อบ้านใหม่ เพราะนอกจากจะต้องเลือกเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากหลายๆ ธนาคารเพื่อให้ได้เงื่อนไขที่ดีที่สุดแล้ว ยังต้องเตรียมเอกสารต่างๆ เพื่อยื่นขอสินเชื่อกับธนาคาร ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเป็นความยุ่งยาก และมีโอกาสจะขอสินเชื่อไม่ผ่านด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ แต่...เราจะยอมเสียดอกเบี้ยบ้านแพงๆ ไปทำไมกัน หากกู้ที่หนึ่งไม่ผ่าน เราก็สามารถยื่นขอสินเชื่อกับที่ใหม่ไปเรื่อยๆ โดยอาจหาสาเหตุว่าการที่เราขอสินเชื่อไม่ผ่านเกิดจากสาเหตุอะไร แล้วค่อยๆ แก้ไขไป วันนี้เราจะมาบอกทริคในการเตรียมตัวก่อนขอ รีไฟแนนซ์บ้าน ถ้าทำได้แบบนี้ รับรองขอสินเชื่อผ่านแน่นอน…

1. ตรวจสอบรายได้ เช็กภาระหนี้สิน และประเมินความสามารถในการผ่อนชำระของตนเอง
การขอสินเชื่อไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อ รีไฟแนนซ์ ธนาคารจะใช้หลักฐานรายได้ประกอบการพิจารณา ว่าเราจะมีความสามารถในการผ่อนชำระได้ทุกเดือน ตลอดระยะสัญญากู้หรือไม่

 ผู้กู้ ควรต้องมีรายได้ที่แน่นอน หรือหากมีรายได้เสริม ก็ควรมีหลักฐานรายได้ที่ชัดเจน เช่น กรณีเป็นพนักงานเงินเดือนนอกจากจะมีรายรับเข้าบัญชีเป็นประจำทุกเดือน และไม่ควรใช้เงินจนหมดบัญชี ส่วนกรณีที่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ ก็ควรนำเงินรายได้เข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยช่วง 6 - 12 เดือนก่อนยื่นขอรีไฟแนนซ์

 ธนาคารจะประเมินความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้ โดยผู้กู้ ไม่ควรมีภาระหนี้เกิน 40% ของรายรับต่อเดือน โดยไม่นับรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ

 
2. เคลียร์ภาระหนี้สินอื่นๆ
โดยพยายามชำระหนี้สินอื่นๆ ที่มีอยู่ให้หมด หรือให้เหลือน้อยที่สุดก่อนที่จะยื่นเรื่องรีไฟแนนซ์ และควรหลีกเลี่ยงการกู้ยืมใหม่ในช่วงที่กำลังเตรียมการยื่นกู้ รวมถึงลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพราะการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงไป จะช่วยให้เรามีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ได้มากขึ้น ธนาคารก็อาจจะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้น

 
3. จัดระเบียบการเดินบัญชีให้สวย และทำประวัติทางการเงินให้ดี
ปกติธนาคารใช้ Statement ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อด้วย ซึ่งก่อนที่เราจะยื่นกู้ประมาณ 3-6 เดือน ควรให้มีเงินคงเหลือติดบัญชีอย่างน้อย 500 -1,000 บาท ไม่ควรกดเงินออกมาทั้งหมดทันทีที่มีรายรับเข้าบัญชี และสร้างประวัติทางการเงินให้ดี อย่าปล่อยให้มีหนี้ค้างชำระ รวมถึงรักษาวินัยทางการเงินให้ดีพยายามอย่าให้เงินขาดบัญชี เพื่อเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือ

 
4. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน
สำหรับเอกสารในการยื่นขอรีไฟแนนซ์บ้าน ก็จะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ

 เอกสารส่วนบุคคล เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน

 เอกสารแสดงรายได้ เช่น สลิปเงินเดือน statement หรือหลักฐานการเสียภาษี

 เอกสารหลักประกัน เช่น สัญญาเงินกู้ฉบับเดิม ใบเสร็จการชำระสินเชื่อกับธนาคารเดิม

 
5. เลือกธนาคารที่ให้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม และโปรโมชันตรงใจ
ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์ ผู้กู้สามารถเลือกเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขสินเชื่อของหลายๆ ธนาคาร รวมถึงตรวจสอบโปรโมชัน และสิทธิพิเศษต่างๆ ที่ธนาคารนำเสนอ ให้ได้ตามเงื่อนไขที่เราพึงพอใจ

 ควรเลือกรีไฟแนนซ์กับธนาคารที่ให้อัตราดอกเบี้ยถูกลงกว่าเดิม อย่างน้อยประมาณ 2% หรืออาจจะเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยโดยคำนวณอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่น้อยลง เพื่อให้สามารถประหยัดเงินที่ต้องชำระค่าบ้านในแต่ละเดือนได้มากขึ้น

 เลือกธนาคารที่มีโปรโมชันยกเว้นค่าธรรมเนียมต่างๆ ร่วมด้วย ที่ต้องชำระก็จะช่วยให้ประหยัดเงินได้มากขึ้น เช่น ยกเว้น ค่าธรรมเนียมประเมินหลักประกัน, ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการจดจำนอง 1% ของวงเงินประเมิน เป็นต้น

สรุปแล้ว การรีไฟแนนซ์บ้าน ไม่ได้ยากอย่างที่หลายๆ คนคิด เพราะหากเรามีความพร้อม ทั้งเรื่องประวัติทางการเงิน  เอกสารต่างๆ และเลือกธนาคารให้เหมาะสม การขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านครั้งถัดไป ธนาคารก็จะอนุมัติง่าย ไม่ติดปัญหาอย่างแน่นอนค่ะ ที่สำคัญ อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยที่ไม่ได้คิดจะรีไฟแนนซ์บ้านนะคะ

6
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


7
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


8
บอร์ดโพสเว็บบอร์ดsmf / หมอออนไลน์: หืด (Asthma)
« เมื่อ: วันที่ 26 มิถุนายน 2025, 18:37:28 น. »
หมอออนไลน์: หืด (Asthma)

หืด เป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรังชนิดหนึ่ง  ซึ่งมีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นเนื่องจากหลอดลมตีบเป็นครั้งคราว  ทำให้มีอาการหายใจหอบเหนื่อย เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง  ส่วนมากมักจะไม่มีอันตรายร้ายแรง  ยกเว้นในรายที่เป็นมากหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง  ก็อาจเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร  หรือมีอันตรายถึงตายได้

โรคนี้พบได้บ่อยในคนทุกวัย  มีความชุกสูงสุดในช่วงอายุ 10-12 ปี  ส่วนใหญ่มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่อายุก่อน 5 ปี  ส่วนน้อยที่เกิดขึ้นครั้งแรกในวัยหนุ่มสาวและวัยสูงอายุ

ในบ้านเราเคยมีการสำรวจนักเรียนในกรุงเทพฯ  พบว่ามีความชุกของโรคนี้ประมาณร้อยละ 4-13

ในวัยเด็ก (ก่อนวัยหนุ่มสาว) พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงประมาณ 1.5-2 เท่า

ทั่วโลกพบว่าโรคนี้มีแนวโน้มเกิดมากขึ้นในทุกประเทศ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองที่มีสิ่งแวดล้อม (ได้แก่ มลพิษและสารก่อภูมิแพ้) และวิถีชีวิตที่ส่งเสริมให้เกิดโรคนี้

สาเหตุ

เกิดจากปัจจัยร่วมกันหลายประการ ทั้งทางด้านกรรมพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การติดเชื้อ และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ทำให้หลอดลมมีความไวต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ มากกว่าคนปกติ เป็นเหตุให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม การบวมของเนื้อเยื่อผนังหลอดลม และการหลั่งเมือก (เสมหะ) มากในหลอดลม มีผลโดยรวมทำให้หลอดลมตีบแคบลง เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นชนิดผันกลับได้ (revesible) ซึ่งสามารถกลับคืนเป็นปกติได้เอง หรือภายหลังให้ยารักษา

บางรายอาจมีการอักเสบของหลอดลมอย่างต่อเนื่องนานเป็นแรมปี  หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง  โครงสร้างของหลอดลมจะค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง  จนในที่สุดมีความผิดปกติ (airway remodeling) ชนิดไม่ผันกลับ (irreversible) ทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร

ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้อื่น ๆ (เช่น หวัด ภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้) ร่วมด้วย และมักมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายหรือญาติพี่น้องเป็นหืดหรือโรคภูมิแพ้อื่น ๆ

นอกจากนี้ยังพบปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น ได้แก่ ภาวะน้ำหนักเกิน (ทำให้มีอาการกำเริบบ่อย และรุนแรงได้) ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักแรกเกิดน้อย ทารกที่มีมารดาสูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ การติดเชื้อไวรัสตั้งแต่เล็ก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวรัสอาร์เอสวี (ดู "โรคหลอดลมฝอยอักเสบ" เพิ่มเติม) การสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ (ได้แก่ ไรฝุ่นบ้าน) ปริมาณมากตั้งแต่ในช่วงขวบปีแรก

กลไกการตีบแคบของหลอดลมในโรคหืด

สาเหตุกระตุ้น 

ผู้ป่วยมักมีอาการกำเริบเมื่อมีสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้น  ที่พบบ่อยได้แก่

    สารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองหญ้า วัชพืช  ละอองเกสรดอกไม้  ไรฝุ่นบ้าน (พบอยู่ตามพรม ที่นอน เฟอร์นิเจอร์หรือของเล่นที่ทำด้วยนุ่น หรือเป็นขน ๆ) เชื้อรา (พบสปอร์ตามพุ่มไม้  ในสวน ห้องน้ำ ห้องครัว ในที่ชื้น) แมลงสาบและสัตว์เลี้ยงในบ้าน (สารก่อภูมิแพ้อยู่ในน้ำลาย ขุยหนังที่ลอกหรือรังแค ขนสัตว์ ปัสสาวะ และมูลสัตว์) อาหาร (ได้แก่ นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว ไข่ กุ้ง หอย ปู ปลา ถั่วลิสง งา สีผสมอาหาร สารกันบูดในอาหาร)
    สิ่งระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ ควันท่อไอเสีย ควันไฟ ควันธูป ฝุ่นละออง มลพิษในอากาศ (ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ของรถยนต์ ก๊าซโอโซนที่พบมากในเมืองใหญ่) สเปรย์ ยาฆ่าแมลงหรือวัชพืช อากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน กลิ่นฉุด ๆ สารเคมี (ภายในบ้าน ที่ทำงาน และโรงงาน)
    ยา ได้แก่ แอสไพริน  ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์  ยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นบีตา 
    การติดเชื้อของทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ เป็นต้น
    การออกกำลังกาย อาจชักนำให้เกิดอาการหอบหืดกำเริบในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออกกำลังจนเหนื่อยหรือหักโหมเกินไป
    ความเครียดทางจิตใจ เช่น ความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ การงาน ครอบครัว รวมทั้งอารมณ์ซึมเศร้า  ความเศร้าโศกจากการสูญเสียคนที่รัก  เป็นต้น
    ฮอร์โมนเพศ  พบว่าผู้หญิงระยะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ (puberty) ระยะก่อนมีประจำเดือน  หรือขณะตั้งครรภ์ มักมีโรคหืดกำเริบ  (ในช่วงสัปดาห์ที่ 24-36 ของการตั้งครรภ์)
    โรคกรดไหลย้อน น้ำย่อยหรือกรดที่ไหลย้อนลงไปในหลอดลมอาจทำให้โรคหืดกำเริบได้บ่อย

อาการ

มักมีอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือหอบเหนื่อยร่วมกับมีเสียงดังวี้ดคล้ายเสียงนกหวีด (ระยะแรกจะได้ยินช่วงหายใจออก ถ้าเป็นมากขึ้นจะได้ยินทั้งช่วงหายใจเข้าและออก) อาจมีอาการไอ ซึ่งมักมีเสมหะใสร่วมด้วย

บางรายอาจมีเพียงอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือไอเป็นหลักโดยไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจนก็ได้ อาการไอดูคล้ายไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ หรือหลอดลมอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกเริ่มของโรคนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการไอมากตอนกลางคืนหรือเช้ามืด ในช่วงอากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน หรือวิ่งเล่นมาก ๆ เด็กเล็กอาจไอมากจนอาเจียนออกมาเป็นเสมหะเหนียว ๆ และรู้สึกสบายหลังอาเจียน

ผู้ป่วยอาจมีอาการภูมิแพ้ เช่น คัดจมูก คันคอ เป็นหวัด จาม หรือผื่นคันร่วมด้วย หรือเคยมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน

ในรายที่เป็นเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง มักจะมีอาการเป็นครั้งคราว และมักกำเริบทันทีเมื่อมีสาเหตุกระตุ้น ผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบากจะลุกขึ้นนั่งฟุบกับโต๊ะหรือพนักเก้าอี้และหอบตัวโยน

ในรายที่เป็นรุนแรงมักมีอาการต่อเนื่องตลอดทั้งวันจนกว่าจะได้ยารักษา จึงจะรู้สึกหายใจโล่งสบายขึ้น

ในช่วงที่ไม่มีอาการกำเริบ ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายเช่นคนปกติทั่วไป

ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคหืดรุนแรง เช่น เคยหอบรุนแรงจนต้องไปรักษาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลบ่อย เคยต้องใส่ท่อหายใจช่วยชีวิต ต้องใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดกินหรือฉีด หรือต้องใช้ยากระตุ้นบีตา 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น สูดมากกว่า 1-2 หลอด/เดือน ถ้าขาดการรักษาหรือได้รับยาไม่เพียงพอในการควบคุมอาการ  อาจมีอาการหอบอย่างต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ ถึงวัน ๆ แม้จะใช้ยารักษาตามปกติที่เคยใช้ ก็ไม่ได้ผล  เรียกว่า ภาวะหืดดื้อ หรือ หืดต่อเนื่อง  (status asthmaticus) ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและมีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดภาวะเลือดเป็นกรด มีอาการสับสน หมดสติ ในที่สุดหยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้น เสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

อาการที่เข้าข่ายเป็นโรคหืด

ควรสงสัยว่าเป็นโรคหืด  ถ้าผู้ป่วยมีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีเสียงหายใจดังวี้ดคล้ายเสียงนกหวีดบ่อยครั้ง คือ มากกว่าเดือนละ 1 ครั้ง
    มีอาการไอ รู้สึกเหนื่อยง่าย หรือมีเสียงหายใจดังวี้ดขณะวิ่งเล่น  หรือออกกำลังกาย
    ไอตอนกลางคืน โดยที่ไม่ได้เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
    มีอาการต่อเนื่องหลังอายุ 3 ปี
    อาการกำเริบหรือเป็นมากขึ้น เมื่อมีสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้น เช่น ละอองเกสร  ขนสัตว์ สเปรย์ บุหรี่ ไรฝุ่นบ้าน ยา การติดเชื้อทางเดินหายใจ ออกกำลังกาย ความเครียด
    เวลาเป็นไข้หวัดมีอาการต่อเนื่องนานเกิน 10 วัน หรือมีอาการไอรุนแรง หรือไอนานกว่าคนอื่นที่เป็นไข้หวัด
    อาการดีขึ้นเมื่อใช้ยารักษาโรคหืด
    มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคหืดหรือโรคภูมิแพ้อื่น ๆ เช่น หวัดภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้

ภาวะแทรกซ้อน

ที่พบได้ค่อยข้างบ่อย ได้แก่ ภาวะหมดแรง (exhaustion) ภาวะขาดน้ำ ปอดแฟบ (atelectasis) การติดเชื้อ (หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ)

ที่ร้ายแรง คือ ภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งพบในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต

ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น ภาวะปอดทะลุ, ภาวะมีอากาศในประจันอกและใต้หนัง (mediastinal and subcutaneous emphysema), ภาวะหัวใจล้มเหลวดังที่เรียกว่า โรคหัวใจเหตุจากปอด (cor pulmonale), เป็นลมจากการไอ (tussive syncope), ภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง 

ในหญิงตั้งครรภ์ ถ้าเป็นโรคหืดที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักตัวน้อย ทารกตายระยะใกล้คลอดและหลังคลอด

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

การตรวจร่างกายขณะที่ไม่มีอาการ มักจะไม่พบสิ่งผิดปกติ

ขณะที่มีอาการหอบ มักได้ยินเสียงหายใจดังวี้ด ๆ ใช้เครื่องฟังตรวจปอดจะได้ยินเสียงหายใจออกยาวกว่าปกติและมีเสียงวี้ด (wheezing) กระจายทั่วไปที่ปอดทั้ง 2 ข้างในช่วงหายใจออก (ถ้าหอบมากจะได้ยินเสียงวี้ดทั้งในช่วงหายใจเข้าและออก) ชีพจรเต้นเร็ว มักไม่มีไข้ ถ้ามีไข้แสดงว่าอาจมีโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด หลอดลมอักเสบร่วมด้วย หรืออาจมีปอดอักเสบแทรกซ้อน

ในรายที่เป็นรุนแรงจะมีอาการหอบรุนแรง ซี่โครงบุ๋ม แอ่งไหปลาร้าบุ๋ม ตัวเขียว สับสน หมดสติ ใช้เครื่องฟังปอดอาจไม่ได้ยินเสียงวี้ด เนื่องจากมีภาวะอุดกั้นรุนแรงจนลมหายใจผ่านเข้าออกน้อย

ในรายที่เป็นโรคหืดเรื้อรังมานานอาจพบหน้าอกมีความหนา (ความยาวจากด้านหน้าถึงด้านหลัง) กว่าปกติที่เรียกว่า อกโอ่ง บางรายอาจพบหน้าอกโป่งเหมือนอกไก่

ในการประเมินความรุนแรงของโรค แพทย์จะทำการทดสอบสมรรถภาพของปอด (ดูค่า FEV1 และ PEF)*

กรณีที่ยังวินิจฉัยไม่ได้ชัดเจน แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การสูดสาร methacholine กระตุ้นให้หลอดลมตีบ (methacholine challenge), การกระตุ้นให้อาการกำเริบด้วยการออกกำลังกาย หรือการสูดอากาศเย็น (provocative testing for exercise and cold-induced asthma), การทดสอบภาวะภูมิแพ้ (allergy testing) โดยการตรวจเลือดหรือทดสอบผิวหนัง การตรวจหาปริมาณอีโอซิโนฟิล (eosinophil ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) ในเสมหะ, เอกซเรย์ปอด เป็นต้น

* FEV1 (forced expiratory in one second) หมายถึง ปริมาตรอากาศที่หายใจออกแรง ๆ ใน 1 วินาที โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดปริมาตรอากาศหายใจ (spirometer)

PEF (peak expiratory flow) หมายถึง อัตราการไหลของลมหายใจออกสูงสุด หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มที่ โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. เมื่อมีอาการหอบหืดกำเริบฉับพลัน ให้ยาขยายหลอดลมชนิดสูด (เช่น ยากระตุ้นบีตา 2) ทันที เพื่อบรรเทาอาการ ถ้ายังไม่ทุเลา สามารถให้ซ้ำได้อีก 1-2 ครั้งทุก 20 นาที

หากผู้ป่วยรู้สึกหายดี แพทย์จะทำการประเมินอาการ สาเหตุกระตุ้น และประวัติการรักษาอย่างละเอียด

2. ในกรณีที่มีประวัติเป็นโรคหืดและมียารักษาอยู่ประจำ ถ้าผู้ป่วยมีอาการตอนกลางวันไม่เกิน 2 ครั้ง/สัปดาห์ สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ  และไม่มีอาการตอนกลางคืน  ก็ให้การรักษาแบบกลุ่มที่ควบคุมโรคได้ (ดูตาราง "การแบ่งระดับของการควบคุมโรค") โดยให้ใช้ยาที่เคยใช้อยู่เดิมต่อไป

3. ในกรณีที่ผู้ป่วยเพิ่งมีอาการครั้งแรกและไม่เคยได้รับยารักษามาก่อน แพทย์จะให้ยารักษา (ส่วนใหญ่ใช้ยาชนิดสูดพ่นเป็นพื้นฐาน บางรายอาจให้ยาชนิดกินร่วมด้วย) ด้วยชนิดและขนาดมากน้อยตามระดับความรุนแรงของโรค นอกจากนี้แพทย์จะทำการตรวจสมรรถภาพของปอด  ให้สุขศึกษาและคำแนะนำในการปฏิบัติตัวต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง และการหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้น

4. แพทย์จะติดตามผู้ป่วยทุก 1-3 เดือน เพื่อประเมินอาการและปรับเปลี่ยนการรักษาที่เหมาะสมตามอาการในแต่ละช่วง

5. แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยมีอาการกำเริบและมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    ไม่ตอบสนองต่อการรักษาข้างต้นภายใน 1-2 ชั่วโมง มีอาการหอบต่อเนื่องมานานหลายชั่วโมง หรือมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย
    มีอาการหอบรุนแรง ซี่โครงบุ๋ม ปากเขียว มีอาการสับสน ซึม หรือพูดไม่เป็นประโยค
    มีประวัติเคยเป็นโรคหืดรุนแรง เคยรับการรักษาในห้องอภิบาลผู้ป่วย (ไอซียู) เนื่องจากโรคหืดมาก่อน กำลังกินหรือเพิ่งหยุดกินยาสเตียรอยด์ หรือใช้ยาบีตา 2 ออกฤทธิ์สั้นสูดบ่อยกว่าทุก 3-4 ชั่วโมง
    มีอาการหอบเหนื่อยที่สงสัยว่าเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ เช่น เช่น มีไข้และใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) หรือสงสัยว่าเป็นปอดอักเสบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ, มีอาการเท้าบวม หลอดเลือดคอโป่ง ความดันโลหิตสูง หรือสงสัยมีภาวะหัวใจวาย, มีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง มีประวัติเป็นโรคหัวใจ หรือสงสัยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นต้น ในกรณีนี้ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ปอด ตรวจสมรรถภาพของปอด ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ ตรวจคลื่นหัวใจ เป็นต้น

6. ในรายที่วินิจฉัยว่าเป็นโรคหืดกำเริบรุนแรง หรือภาวะหืดต่อเนื่อง มีแนวทางในการรักษาดังนี้

    ให้ออกซิเจน และสารน้ำ (น้ำเกลือ)
    ให้ยาขยายหลอดลม ออกฤทธิ์สั้น ชนิดสูด
    ให้สเตียรอยด์ชนิดสูดในขนาดสูงกว่าเดิม
    ในรายที่มีอาการรุนแรงปานกลางและมากให้สเตียรอยด์ชนิดฉีดหรือกิน
    เมื่ออาการดีขึ้น (มักได้ผลภายใน 36-48 ชั่วโมง) ก็ให้กินต่อจนครบ 5 วัน
    ในรายที่หอบรุนแรงจนเกิดภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว อาจต้องใส่ท่อหายใจและเครื่องช่วยหายใจและแก้ไขภาวะผิดปกติต่าง ๆ พร้อมกัน

เมื่อควบคุมอาการได้แล้ว แพทย์จะนัดติดตามดูอาการภายใน 2-4 สัปดาห์

7. ผู้ป่วยที่เป็นโรคหืดทุกราย แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาระยะยาวเพื่อควบคุมอาการให้น้อยลง ป้องกันอาการกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน ฟื้นฟูสมรรถภาพของปอดให้กลับคืนสู่ปกติ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ป้องกันการเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร โดยมีแนวทางการดูแลรักษาดังนี้

(1) ประเมินความรุนแรงของโรค โดยพิจารณาจากอาการแสดง (ความถี่ของอาการกำเริบตอนกลางวัน และตอนกลางคืน) ร่วมกับการตรวจสมรรถภาพของปอด (ดูค่า FEV1 และ PEF)*

(2) ให้ยารักษาโรคหืด ซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มยาบรรเทาอาการ ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ขยายหลอดลม (เช่น ยากระตุ้นบีตา 2) และกลุ่มยาควบคุมโรค ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบและการบวมของผนังหลอดลม (เช่น ยาสเตียรอยด์) แพทย์จะเลือกใช้ชนิดและขนาดของยาตามระดับของการควบคุมโรค ดังนี้

    กลุ่มควบคุมได้ ให้การรักษาตามขั้นตอนเดิมต่อไปอย่างน้อย 3 เดือน แล้วค่อย ๆ ปรับลดยาลงทีละน้อย จนกว่าจะใช้การรักษาขั้นที่ต่ำสุดที่ยังสามารถควบคุมอาการได้
    กลุ่มควบคุมได้บางส่วน และกลุ่มควบคุมไม่ได้ แพทย์จะปรับเพิ่มขั้นตอนการรักษาจนกว่าจะสามารถควบคุมอาการได้ภายใน 1 เดือน โดยก่อนปรับยา จะทบทวนว่าผู้ป่วยมีการใช้ยาตามสั่ง และใช้ถูกวิธีหรือไม่ รวมทั้งได้หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นหรือไม่ และแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน

หลังจากควบคุมอาการได้แล้ว จะติดตามผลการรักษาต่อไปทุก 1-3 เดือน และปรับขั้นตอนการรักษาให้เหมาะกับระดับของการควบคุมโรค ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยน (ดีขึ้นหรือเลวลง) ไปได้เรื่อย ๆ

ในเด็กที่มีสาเหตุจากสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้และอาการไม่ดีขึ้นหลังการใช้ยาหรือไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยา แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วย การขจัดภูมิไว (desensitization)**

(3) ให้การรักษาโรคที่พบร่วม เช่น หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ โรคกรดไหลย้อน เป็นต้น

(4) แนะนำให้หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้นและการปฏิบัติตัวต่าง ๆ (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การป้องกัน" ด้านล่าง)

(5) ติดตามผลการรักษาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องและทำการตรวจสมรรถภาพของปอดเป็นระยะ ในรายที่เป็นโรคหืดรุนแรงหรือมีอาการกำเริบบ่อย  แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter)  ไปตรวจเองที่บ้านทุกวัน เพื่อตรวจภาวะหลอดลมตีบซึ่งจะพบก่อนมีอาการแสดงนานเป็นชั่วโมงถึงเป็นวัน ผู้ป่วยจะได้รีบใช้ยารักษาหรือไปพบแพทย์ปรับยาให้เหมาะสม  นอกจากนี้แพทย์ยังแนะนำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง

ผลการรักษา  ส่วนใหญ่สามารถควบคุมอาการได้ดี

ถ้ามีอาการเริ่มเป็นตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อโตขึ้นหรือย่างเข้าวัยหนุ่มสาว อาการอาจทุเลาจนสามารถหยุดการใช้ยาสูดบรรเทาอาการได้ แต่บางรายเมื่ออายุมากขึ้นก็อาจมีอาการกำเริบได้อีก

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีการอักเสบของหลอดลมอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่มีอาการหอบเหนื่อยแล้ว หากขาดการให้ยาควบคุมโรค (ลดการอักเสบ) ก็อาจเกิดภาวะทางเดินหายใจผิดปกติและอุดกั้นในระยะยาวได้ ดังนั้น ถึงแม้จะมีอาการทุเลาแล้วก็ควรติดตามรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง

ส่วนในรายที่มีอาการมาก จำเป็นต้องได้รับยาอย่างเพียงพอ หากขาดยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์มาก่อน ก็อาจมีอาการกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน ถึงขั้นกลายเป็นภาวะหืดดื้อ เป็นอันตรายได้

ปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะมีอัตราตายต่ำ

* FEV1 (forced expiratory in one second) หมายถึง ปริมาตรอากาศที่หายใจออกแรง ๆ ใน 1 วินาที โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดปริมาตรอากาศหายใจ (spirometer)

PEF (peak expiratory flow) หมายถึง อัตราการไหลของลมหายใจออกสูงสุด หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มที่ โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter)

** บางครั้งก็เรียกว่า อิมมูนบำบัด (immunotherapy) โดยการฉีดยาทดสอบว่าแพ้สารอะไร  แล้วฉีดสารนั้นทีละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ เพื่อลดการแพ้ วิธีนี้ใช้ได้ผลดีในเด็ก  ส่วนในผู้ใหญ่ได้ผลไม่สู้ดี  ข้อเสียคือ  ต้องใช้เวลารักษานาน  ราคาแพง  และอาจมีอาการแพ้ที่รุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะช็อกจากการแพ้ (anaphylactic shock) หรือโรคหืดกำเริบรุนแรงได้ จำเป็นต้องฉีดในที่ ๆ มีความพร้อมในการช่วยเหลือถ้าเกิดการแพ้  โดยหลังฉีดสารบำบัดแต่ละครั้งควรเฝ้าสังเกตดูอาการอย่างน้อย 30 นาที


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือหอบเหนื่อยร่วมกับมีเสียงดังวี้ด ๆ คล้ายเสียงนกหวีด หรือผู้ที่มีประวัติใช้ยารักษาโรคหืดอยู่เป็นประจำ มีอาการหอบหืดกำเริบทั้งที่ได้ใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ ควรรีบไปพบแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหืด ควรดูแลตนเองดังนี้

1. ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ ดังนี้

    ติดตามรักษากับแพทย์เป็นประจำ ตรวจสมรรถภาพของปอดเป็นระยะ ใช้เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter) ตรวจเองที่บ้านทุกวัน (สำหรับผู้ที่แพทย์แนะนำ) เรียนรู้วิธีใช้ยาให้ถูกต้อง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีสูดพ่นยา หากทำไม่ถูก การรักษาก็จะไม่ได้ผล) และใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ
    พกยาบรรเทาอาการติดตัวเป็นประจำ หากมีอาการกำเริบ ให้รีบสูดยา 2-4 หน (puff) ทันที ถ้าไม่ทุเลาอาจสูดซ้ำทุก 20 นาที อีก 1-2 ครั้ง ถ้ายังไม่ทุเลาควรไปพบแพทย์โดยเร็ว อย่าปล่อยให้หอบนานอาจเป็นอันตรายได้
    ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ อย่าให้ขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ไอมีเสมหะเหนียว หรือมีอาการหอบเหนื่อย
    ทุกครั้งที่สูดยาสเตียรอยด์ ควรบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ยาตกค้างที่คอหอย ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเชื้อราในช่องปาก (ดู "โรคเชื้อราในช่องปาก มุมปากเปื่อยจากเชื้อรา" เพิ่มเติม)
    อย่าซื้อยาชุดหรือยาลูกกลอนมาใช้เอง เพราะยาเหล่านี้มักมีสเตียรอยด์ผสม แม้ว่าอาจจะใช้ได้ผล แต่ต้องใช้เป็นประจำ ซึ่งทำให้มีผลข้างเคียงร้ายแรงตามมาได้  อย่างไรก็ตาม ถ้าเคยใช้ยาเหล่านี้มานาน ห้ามหยุดยาทันที อาจทำให้มีอาการหอบกำเริบรุนแรงหรือเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (ดู "โรคช็อก" เพิ่มเติม) ได้ ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อหาทางค่อย ๆ ปรับลดยาลง
    ฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ (โดยการเป่าลมออกทางปาก ให้ลมในปอดออกให้มากที่สุด) เป็นประจำ จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่งสดชื่น อาจช่วยให้อาการดีขึ้นได้
    ลดน้ำหนัก ถ้ามีน้ำหนักเกิน

2. ถึงแม้อาการทุเลาแล้ว ก็ห้ามหยุดยา หรือปรับลดยาเองตามอำเภอใจ จนกว่าแพทย์จะสั่งปรับยาให้ มิเช่นนั้น อาจทำให้โรคกำเริบรุนแรง เป็นอันตรายได้

3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง กระตุ้นให้โรคกำเริบ (อ่านเพิ่มที่หัวข้อ "การป้องกัน" ข้อที่ 1 หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง)

4. หากมีอาการไม่สบาย ไม่ว่าจะเป็นอะไร ควรปรึกษาแพทย์และใช้ยาที่แพทย์แนะนำเท่านั้น ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เพราะอาจทำให้โรคหืดกำเริบ หรือเป็นอันตรายได้

5. ผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อน ซึ่งอาจกระตุ้นโรคหืดกำเริบได้ ควรกินยารักษาและปฏิบัติตัวในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการกรดไหลย้อน

6. หมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม บำรุงอาหารสุขภาพ รู้จักผ่อนคลายความเครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

7. ควรไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    มีอาการหอบหืดกำเริบ 
    เจ็บแน่นหน้าอก 
    ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว
    มีอาการไม่สบายที่จำเป็นต้องใช้ยารักษา ห้ามซื้อยามาใช้เอง เพราะมียาหลายชนิดที่ทำให้หอบหืดกำเริบได้
    ขาดยารักษาโรคหืด เช่น ยาหาย ยาหมดก่อนวันนัด
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

9
ปล่อยรถป้ายแดง Mercedes-Benz EQS 500 4Matic AMG Premium ปี 2023

Mercedes-Benz EQS 500 4MATIC AMG Premium ปี 2023 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ระดับเรือธงของ Mercedes-EQ ที่นำเสนอความหรูหราล้ำสมัย สมรรถนะอันทรงพลัง และเทคโนโลยีสุดล้ำ โดยรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ประกอบในประเทศไทย ทำให้มีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นที่นำเข้า

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 12 มิ.ย. - 30 มิ.ย. 2568
รถไฟฟ้า วิ่งไกล 770 กม.
ส่วนลด 2,110,000 บาท
วารันตี เริ่ม 20/10/2023 – 21/10/ 2026

ราคาพิเศษ 5,090,000 บาท

สนใจสอบถา มรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

มิติตัวถัง
EQS เป็นรถซีดานขนาดใหญ่ที่ให้ความกว้างขวางและสง่างาม:

ความยาว: 5,216 มิลลิเมตร
ความกว้าง: 1,926 มิลลิเมตร (2,125 มม. รวมกระจกมองข้าง)
ความสูง: 1,512 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ: 3,210 มิลลิเมตร
ความจุห้องเก็บสัมภาระท้าย: 610 – 1,770 ลิตร (เมื่อพับเบาะหลัง)
น้ำหนักตัวรถเปล่า: 2,655 กิโลกรัม (EU)

ขุมพลังและสมรรถนะ (Dual Motor 4MATIC AWD)

รุ่น EQS 500 4MATIC AMG Premium มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (4MATIC) ให้สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม:

มอเตอร์ไฟฟ้า: มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ (Dual Permanent Magnet Synchronous Motors) ติดตั้งที่เพลาหน้าและหลัง
กำลังรวมสูงสุด: 330 kW หรือประมาณ 449 แรงม้า (HP)
แรงบิดรวมสูงสุด: 828 นิวตันเมตร
แบตเตอรี่: Lithium-ion (จาก CATL)
ความจุแบตเตอรี่ (ใช้งานได้): 108.4 kWh (บางข้อมูลระบุ 107.8 kWh)
ระยะทางวิ่งสูงสุด (WLTP): 672 กิโลเมตร (บางข้อมูลระบุ 702 กม. หรือ 590 กม. WLTP)
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: 4.8 วินาที
ความเร็วสูงสุด: 210 กม./ชม.

การชาร์จไฟฟ้า:
AC Charging (Type 2): รองรับสูงสุด 11 kW (ชาร์จ 0-100% ในประมาณ 11 ชั่วโมง 30 นาที ถึง 12 ชั่วโมง 45 นาที)
DC Fast Charging (CCS2): รองรับสูงสุด 150 kW (บางแหล่งระบุสูงสุด 207 kW) ชาร์จจาก 10-80% ในประมาณ 28-31 นาที
มีฟังก์ชัน Battery Preconditioning


10
มอเตอร์โชว์ 2025: Toyota Fortuner Leader S ที่เป็นรุ่นเริ่มต้น แม้ตัดออปชั่นแต่ก็ยังรถอเนกประสงค์ในราคา 1.239 ล้านบาท รุ่นนี้ตอบโจทย์ใคร?

ปลายปีที่แล้ว (เดือนพฤศจิกายน 2567) โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำตัวจริงในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ของ Toyota Fortuner จากความสำเร็จจากยอดขาย อันดับ 1 ในตลาด PPV 12 ปีติดต่อกัน จึงได้ทำการส่งรุ่นย่อยใหม่ Leader S ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้น เพื่อลดต้นทุนให้เข้าถึงง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย ทั้งยังมาพร้อมดีไซน์พรีเมียมสะดุดตา พร้อมคุ้มค่าด้วยระบบความปลอดภัยและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัย ตอบโจทย์ในทุกสภาพการใช้งานและกลุ่มครอบครัว ในราคา 1,239,000 บาท

จุดเด่นของ Fortuner Leader S
เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 150 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง (2WD) เพียงพอสำหรับการเดินทางทั่วไปหรือขับบนเส้นทางทุรกันดารเล็กน้อย
ล้ออัลลอย 17 นิ้ว พร้อมยาง Bridgestone Dueler A/T แม้จะเป็นรุ่นล่าง แต่ยางเป็นแบบ All-Terrain รองรับการใช้งานทั้งในเมืองและทางลุยเบา
ไฟหน้าแบบ LED Projector พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ
ภายในตกแต่งด้วยเบาะผ้า ปรับมือ พวงมาลัยยูรีเทน อาจดูพื้นฐาน แต่เหมาะกับคนใช้งานจริง ไม่เน้นหรูหรา
จออินโฟเทนเมนต์รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกซ้าย-ขวา พร้อมกรอง PM 2.5

จุดที่ถูกลดทอนเพื่อลดต้นทุน
ไม่มีระบบ Smart Entry หรือ Push Start
ไม่มีเบรกมือไฟฟ้า หรือระบบ Auto Hold
ไม่มีเซนเซอร์ถอยหลัง (มีเฉพาะกล้องหลัง)
เบาะแถวสามแบบพับแขวน พื้นไม่เรียบ
ไม่มีช่อง USB ด้านหลัง (มีเพียงปลั๊กไฟบ้าน 220V)

เหมาะกับใคร?
ผู้ที่ใช้รถกระบะอยู่เดิม และต้องการเปลี่ยนเป็น PPV ที่นั่งได้ 7 คน
เจ้าของธุรกิจในต่างจังหวัดที่ต้องใช้รถลุยเล็กน้อย
ครอบครัวที่ต้องการรถที่ใช้งานได้จริง ไม่เน้นออฟชั่นหรูหรา
ผู้ที่ต้องการรถที่มีความทนทาน ดูแลง่าย และราคาขายต่อดี

คู่แข่งสำคัญ

Isuzu MU-X 2.2 Active – ราคาใกล้เคียง แต่ออฟชั่นบางอย่างมากกว่า

Nissan Terra – รุ่นเริ่มต้นมีราคาไม่ถึงล้าน

Ford Everest Trend – เครื่องแรงกว่า และได้จอใหญ่ ออฟชั่นครบกว่า

บทสรุป
Toyota Fortuner Leader S อาจไม่มีออฟชั่นหวือหวา แต่ตอบโจทย์ในเรื่องของความ "สบายใจ" ใช้งานได้จริง ดูแลง่าย และราคาขายต่อไม่ตกเร็ว เหมาะกับคนที่ต้องการรถ PPV ทรงสูงในราคาที่จับต้องได้จากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ หากคุณสนใจทดลองขับ แนะนำให้ติดต่อโชว์รูม Toyota ใกล้บ้าน หรือที่ Toyota Alive บางนา ซึ่งมีรถให้ทดลองขับครบทุกช่วงราคา

11
จัดฟันบางนา: เครื่องมือจัดฟันแบบใส ต้องใส่อย่างไร จึงจะได้ผล
 
การจัดฟันแบบใสเป็นรูปแบบการจัดฟันที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ผู้เข้ารับการจัดฟันในยุคสมัยปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเครื่องมือการจัดฟันที่สามารถสวมใส่ได้อย่างสะดวกสบายและสามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหารและแปรงฟัน เรียกได้ว่าการจัดฟันแบบใสแทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเลยทีเดียว ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการจัดฟันแบบเหล็กจัดฟันจะมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมากกว่า

เนื่องจากเครื่องมือที่มีการติดแน่นอยู่บนผิวฟัน อาจทำให้ต้องระวังในเรื่องของการรับประทานอาหาร เพราะถ้าหากเครื่องมือเกิดหลุดขณะรับประทานอาหารก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการจัดฟันลดลง เพราะเครื่องมือไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง แต่การเข้ารับการจัดฟันแบบใส ผู้เข้ารับการจัดฟันจะสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ ทำให้สามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลายและเต็มที่มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ยังถูกออกแบบมาเพื่อเฉพาะบุคคล ทำให้สวมใส่ได้กระชับ สบายช่องปาก ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง ซึ่งถือว่า เป็นการจัดฟันแห่งยุคที่ได้นำนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการรักษาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว แต่ถึงแม้ว่าการจัดฟันแบบใสและเครื่องมือการจัดฟันแบบใสจะมีข้อดีหลายข้อและมีประสิทธิภาพ มีผลการรักษาที่แม่นยำ

แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่างในการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันที่จะช่วยทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ สำหรับใครที่สนใจที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใสที่กำลังศึกษาข้อมูลและรายละเอียดต่างๆก่อนตัดสินใจเข้ารับการจัดฟันอาจจะมีคำถามที่ว่า เครื่องมือการจัดฟันแบบใสเราจะต้องสวมใส่อย่างไร เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงวิธีการใส่เครื่องมือการจัดฟันให้ได้ผลลัพธ์ตามที่เราพึงพอใจเพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง
 
สำหรับการสวมใส่หรือใช้เครื่องมือจัดฟันแบบใส อาจไม่ง่ายอย่างที่เราคิด เนื่องจากเครื่องมือชนิดนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือของผู้เข้ารับการจัดฟันเป็นอย่างมาก การที่เครื่องมือจัดฟันแบบใส สามารถถอดเข้าออกได้อย่างสะดวกสบายนั้น สำหรับผู้เข้ารับการจัดฟันบางคน ก็อาจกลายเป็นข้อเสียได้เหมือนกัน เพราะผู้เข้ารับการจัดฟันมีความจำเป็นต้องสวมใส่เครื่องมือแบบใส ไม่ต่ำกว่าวันละ 20-22 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ผลดี

ที่ต้องบอกว่า ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องมีวินัยในการจัดฟันนั้น เพราะบางคนเผลอลืมใส่ หรืออาจจะเผลอถอดก่อนรับประทานอาหารจนทำให้ลืมสวมใส่เครื่องมือ ซึ่งส่งผลต่อการรักษาอย่างแน่นอน ถ้าผู้เข้ารับการจัดฟันไม่มีวินัยในการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน ก็ยากที่จะได้ผลที่แม่นยำตามทีทันตแพทย์วางไว้ นอกจากนั้น การใส่เครื่องมือแบบใสไม่สม่ำเสมอ จนฟันไม่เคลื่อนตามแผนการรักษา ทำให้กลับไปใส่ชุดเครื่องมือที่มีอยู่ไม่ได้ อาจต้องทำเครื่องมือใหม่ ซึ่งนั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นมาด้วย

เปรียบเทียบได้กับการสวมใส่รีเทนเนอร์หลังการจัดฟัน ถ้าไม่ใส่ ก็อาจจะทำให้ฟันเคลื่อนได้ ทางที่ดีผู้เข้ารับการจัดฟันควรที่จะสวมใส่เครื่องมือตามคำแนะนำของทันตแพทย์เพื่อที่จะได้มีผลการรักษาตามที่ทันตแพทย์ได้กำหนดไว้ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง


หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มาอย่างยาวนานเกี่ยวกับด้านการจัดฟัน จึงสามารถให้บริการทางด้านทันตกรรมได้ครบวงจรและมีความปลอดภัย ทั้งนี้ ทางคลินิกของเรา ยังได้รับการรับรองสูงสุดจาก Invisalign เพื่อให้เข้ารับการจัดฟันได้อย่างถูกต้อง มีมาตรฐานสากลและยังมีความน่าเชื่อถือเพราะการจัดฟันแบบใสนั้น จะต้องได้รับการรักษาจากทันตแพทย์ที่ผ่านการรับรองเท่านั้น


เพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย และทางทันตแพทย์ของเรายังสามารถให้คำปรึกษาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างถูกต้องและเป็นกันเอง จึงทำให้มั่นใจได้ว่าหากคุณเข้ารับการรักษาจากทางคลินิกของเรา คุณจะมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติและสามารถใช้ชีวิตชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

12
บอร์ดโพสเว็บบอร์ดsmf / หมอออนไลน์: ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids)
« เมื่อ: วันที่ 22 มิถุนายน 2025, 23:33:29 น. »
หมอออนไลน์: ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids)

ริดสีดวงทวาร เป็นภาวะที่หลอดเลือดดำที่มีอยู่ตามธรรมชาติของคนทั่วไปในบริเวณปลายลำไส้ใหญ่ (ไส้ตรง) และทวารหนักเกิดการบวม และโป่งพอง เป็นก้อน เรียกว่า "หัวริดสีดวง" แล้วมีการปริแตกของผนังหลอดเลือดขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ ทำให้มีเลือดออกเป็นครั้งคราว

ริดสีดวงทวารมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่

1. ริดสีดวงภายนอก (external hemorrhoid) เกิดขึ้นตรงปากทวารหนัก จากที่หลอดเลือดใต้ผิวหนังเกิดการโป่งพอง ซึ่งมองเห็นจากภายนอกและสามารถคลำได้

2. ริดสีดวงภายใน (internal hemorrhoid) เกิดตรงบริเวณที่อยู่ลึกขึ้นไปในทวารหนัก จากที่หลอดเลือดบริเวณนั้นเกิดการโป่งพอง ซึ่งมักมองไม่เห็นจากภายนอกและคลำไม่ได้ จะตรวจพบเมื่อใช้กล้องส่องตรวจ หรือพบในระยะที่มีหัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนัก

ริดสีดวงภายในแบ่งได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่

    ระยะที่ 1 หัวริดสีดวงหลบอยู่ภายใน ไม่ยื่นออกมานอกทวารหนัก อาจมีเพียงอาการเลือดออกสด ๆ ขณะถ่ายอุจจาระ
    ระยะที่ 2 หัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนักขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ และเลื่อนกลับเข้าไปได้เองเมื่อหยุดเบ่งถ่าย หรือหลังถ่ายอุจจาระเสร็จ
    ระยะที่ 3 หัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนักขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ และไม่เลื่อนกลับเข้าไปได้เองหลังถ่ายอุจจาระ ต้องใช้มือดันกลับเข้าไป
    ระยะที่ 4 หัวริดสีดวงยื่นย้อยออกมานอกทวารหนักตลอดเวลา ไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้ และอาจรู้สึกปวด

ริดสีดวงทวาร อาจพบเป็นเพียงหัวเดียวหรือหลายหัวก็ได้ และอาจเป็นริดสีดวงทวารภายนอกร่วมกับริดสีดวงทวารภายในก็ได้

โรคนี้พบได้บ่อยในคนทั่วไป พบเป็นสาเหตุอันดับแรก ๆ ของอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด และเมื่อยิ่งมีอายุมากขึ้นจะยิ่งพบได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพบได้บ่อยในคนอายุมากกว่า 50 ปี เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลายเริ่มอ่อนแอและมีการยืดตัว

โดยทั่วไปจะไม่ค่อยมีอาการรุนแรงหรืออันตราย แต่อาจเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง น่ารำคาญ หรือทำให้วิตกกังวล โดยมากมักจะมีอาการเวลาท้องผูก หรือท้องเดินบ่อยครั้ง

สาเหตุ

โรคนี้เกิดจากเครือข่ายของหลอดเลือดเฮมอร์รอยด์ (hemorrhoidal plexus) ที่บริเวณผนังของไส้ตรง (rectum) ส่วนล่าง และทวารหนัก (anus) เกิดการบวมหรือโป่งพอง เนื่องจากมีภาวะความดันสูงในหลอดเลือดดำ (ของเครือข่ายหลอดเลือดดังกล่าว) จากเหตุปัจจัยต่าง ๆ อาทิ

    การเบ่งถ่ายอุจจาระหรือนั่งถ่ายอุจจาระนาน ๆ 
    อาการท้องผูก หรือท้องเดินเรื้อรัง
    การนั่งนาน ๆ หรือยกของหนัก
    การกินอาหารที่มีกากใยน้อย
    การขาดการออกกำลังกาย
    การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
    น้ำหนักมาก หรือภาวะอ้วน
    ภาวะตั้งครรภ์
    ไอเรื้อรัง

นอกจากนี้ ยังอาจพบร่วมกับโรคในช่องท้อง เช่น ตับแข็ง (ทำให้มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำตับสูง ซึ่งส่งผลกระทบมาที่หลอดเลือดดำที่ทวารหนัก) โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel disease) ก้อนเนื้องอกในท้อง (เช่น เนื้องอกมดลูก เนื้องอกหรือถุงน้ำรังไข่) ท้องมาน (ภาวะท้องบวมน้ำ) มะเร็งลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น

บางคนอาจมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคนี้

บางคนอาจเกิดโรคนี้โดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจนก็ได้


อาการ

ส่วนมากจะมีอาการเลือดออกทางทวารหนัก เป็นเลือดแดงสด เกิดขึ้นขณะเบ่งถ่ายหรือหลังถ่ายอุจจาระ อาจสังเกตมีเลือดเปื้อนกระดาษชำระ หรือเคลือบที่ผิวอุจจาระ หรือมีเลือดไหลออกเป็นหยดลงโถส้วม เลือดที่ออกจะไม่ปะปนกับอุจจาระและไม่มีมูกร่วมด้วย แต่ละครั้งเลือดออกไม่มากและหยุดได้เอง โดยไม่มีอาการเจ็บปวด เมื่อถ่ายครั้งใหม่ก็จะมีเลือดออกได้อีก ส่วนใหญ่มักมีอาการถ่ายเป็นเลือดอยู่ 2-3 วัน แล้วหายไปเอง

สำหรับริดสีดวงทวารภายนอก อาจมีอาการระคายเคืองหรือคันรอบ ๆ ปากทวารหนัก หรืออาจคลำพบติ่งเนื้อนิ่ม ๆ ที่ขอบทวารหนัก ในรายที่มีลิ่มเลือดอุดตันแทรกซ้อนจะมีอาการปวดรุนแรง และคลำได้ก้อนแข็งที่บริเวณทวารหนัก

สำหรับริดสีดวงทวารภายใน ในระยะแรกมักตรวจไม่พบหัวริดสีดวง ต่อเมื่อเป็นระยะที่มีหัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนัก จะพบว่ามีก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ยื่นออกมานอกขอบทวารหนักขณะถ่ายอุจจาระ ซึ่งมักเลื่อนกลับเข้าไปได้เองเมื่อหยุดเบ่งถ่าย หรือใช้มือดันกลับเข้าไปได้ แต่ถ้ายื่นออกมานอกทวารหนักตลอดเวลา ไม่สามารถเลื่อนกลับเข้าไปได้ อาจทำให้รู้สึกปวด 

ถ้ามีเลือดออกมากหรือเรื้อรัง อาจมีอาการอ่อนเพลียและซีดได้


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่แม้ว่าจะมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย แต่มักไม่มีภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่ปล่อยให้มีอาการเรื้อรัง อาจมีการเสียเลือดเรื้อรัง เกิดภาวะโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็กได้

นอกจากนี้ ในรายที่เป็นริดสีดวงภายในระยะรุนแรง หัวริดสีดวงอาจยื่นออกมาย้อยที่ปากทวารหนัก ถูกกล้ามเนื้อหูรูดบีบรัด ทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยง เรียกว่า "ริดสีดวงชนิดถูกบีบรัด (strangulated hemorrhoid)" มีอาการเกิดก้อนเจ็บที่ขอบทวารหนัก ซึ่งก้อนจะโตขึ้นเร็วใน 24 ชั่วโมงแรก และรู้สึกเจ็บมากในระยะ 5-7 วันแรก มักมีน้ำเมือกและเลือดซึม และถ่ายลำบาก อาการจะค่อยทุเลา หายเป็นปกติประมาณ 2 สัปดาห์ไปแล้ว ผู้ป่วยอาจมีประวัติว่าเคยเป็นริดสีดวงมาก่อนหรือไม่ก็ได้

ส่วนโรคริดสีดวงภายนอก อาจเกิดลิ่มเลือดขึ้นในหัวริดสีดวง เรียกว่า "ริดสีดวงทวารชนิดมีลิ่มเลือดอุดตัน (thrombosed hemorrhoid)" ทำให้ริดสีดวงเกิดการอักเสบ บวม มีอาการปวดรุนแรงขณะนั่ง เดิน และถ่ายอุจจาระ และคลำได้ก้อนแข็งที่บริเวณทวารหนัก ผู้ป่วยจะมีอาการปวดมากใน 24-48 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นลิ่มเลือดจะค่อย ๆ ถูกดูดซึมไป อาการจะค่อย ๆ ทุเลา และอาจหายเป็นปกติได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์ หลังหายแล้วอาจพบเนื้อเยื่อบริเวณนั้นกลายเป็นติ่งหนัง (skin tag)   

ผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวบางรายอาจมีอาการรุนแรงจนต้องรีบไปให้แพทย์รักษา


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย รวมทั้งการตรวจทวารหนัก

ในรายที่มีอาการเล็กน้อย อาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นริดสีดวงทวารภายใน ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในลำไส้ใหญ่

บางรายอาจตรวจพบก้อนหรือติ่งหนัง (skin tag) ที่ขอบทวารหนัก หรือก้อนเนื้อนิ่มที่ยื่นโผล่ออกมาที่ปากทวารหนัก

หากยังวินิจฉัยได้ไม่ชัดเจน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนอายุมากกว่า 40 ปี หรือมีอาการเรื้อรัง) หรือสงสัยมีความผิดปกติอื่นในลำไส้ใหญ่หรือช่องท้อง หรือมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (anoscopy/proctoscopy/sigmoidoscopy/colonoscopy) ตรวจเลือด อุจจาระ ปัสสาวะ การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรืออัลตราซาวนด์ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่มีอาการเล็กน้อย คือมีเลือดออกเล็กน้อยขณะเบ่งถ่ายหรือหลังถ่ายอุจจาระ ไม่มีอาการเจ็บปวด แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการ เวลาถ่ายอุจจาระพยายามไม่เบ่งแรง และไม่นั่งถ่ายนาน ๆ อย่านั่งนาน ๆ และไม่ยกของหนัก

ถ้าจำเป็นอาจให้การรักษาอาการท้องผูกหรือท้องเดินที่เป็นสาเหตุที่ทำให้อาการกำเริบ

สำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูก แนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวเพื่อให้อุจจาระนุ่มและถ่ายง่าย (ดูหัวข้อ "การดูแลตนเอง" ด้านล่าง)

2. ถ้ามีอาการปวดริดสีดวงทวารเนื่องจากมีการอักเสบ แนะนำให้ผู้ป่วยนั่งแช่ในน้ำอุ่นจัด ๆ (ขนาดร้อนพอทน หรือประมาณ 40 องศาเซลเซียส) วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 15-20 นาที แล้วใช้ผ้านุ่ม ๆ ซับให้แห้ง

ถ้าปวดมากให้ยาแก้ปวด-พาราเซตามอล หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก) ควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดที่เข้าสารฝิ่นหรืออนุพันธ์ของฝิ่น เพราะอาจทำให้ท้องผูก นอกจากนี้อาจใช้ยาชาชนิดเจล (ที่มีตัวยา lidocaine) ทาระงับปวด

นอกจากนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาเหน็บริดสีดวงทวาร หรือยาทาที่มีตัวยาสเตียรอยด์ผสมกับยาชา (เช่น ยาที่มีชื่อการค้าว่า "Proctosedyl" "Doproct" "Scheriproct N" ชนิดเหน็บทวาร หรือชนิดขี้ผึ้ง/ครีมสำหรับใช้ทา วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และหลังถ่ายอุจจาระ) เพื่อลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวดและคัน (จะหยุดใช้เมื่ออาการทุเลาแล้ว จะไม่ใช้นานเกิน 1 สัปดาห์ เพราะจะทำให้ผิวบาง)

3. ถ้ามีภาวะซีดจากการเสียเลือดเรื้อรัง ให้ยาบำรุงโลหิต

4. ถ้าหัวริดสีดวงหลุดออกมาข้างนอก แพทย์จะใส่ถุงมือใช้ปลายนิ้วชุบสบู่ให้หล่อลื่น แล้วดันหัวกลับเข้าไป

5. ถ้าริดสีดวงภายนอกมีลิ่มเลือดอุดตัน มีอาการปวดรุนแรง แพทย์จะทำการกรีดเอาลิ่มเลือดออกไป ซึ่งจะช่วยให้ทุเลาปวดได้ทันที (จะได้ผลดีภายใน 72 ชั่วโมงหลังเกิดลิ่มเลือด) หลังจากนั้นแนะนำให้ผู้ป่วยแช่น้ำอุ่นจัด ๆ และใช้ยาทาหรือยาเหน็บริดสีดวงทวาร 

6. ถ้าให้การรักษาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผล มีอาการปวดมาก หรือมีเลือดออกเรื้อรัง หรือมีหัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนักบ่อยหรือดันกลับเข้าไปไม่ได้ แพทย์อาจทำการรักษาด้วย "หัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด" วิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้

    การใช้ยางรัด (rubber band ligation) รัดรอบ ๆ หัวริดสีดวงภายใน ทำให้เลือดไปเลี้ยงไม่ได้ หัวริดสีดวงก็จะเหี่ยวแห้งและหลุดออกเองภายใน 1 สัปดาห์ วิธีนี้มีอัตราการหายขาดค่อนข้างสูง แต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น อาการปวดถ่วงในทวารหนัก เลือดออก (ไม่มากและหยุดเองได้) หัวริดสีดวงอักเสบ (บวม เจ็บ) และย้อยออกมาได้ 
    การฉีดสารก่อกระด้าง (sclerotherapy) เข้าที่หัวริดสีดวง ทำให้ริดสีดวงฝ่อไป วิธีนี้ใช้ได้ผลดี เหมาะสำหรับริดสีดวงภายในระยะที่ 1 และ 2 มีความสะดวก ปลอดภัย ไม่มีความเจ็บปวด แต่มีอัตราการหายขาดน้อยกว่าการใช้ยางรัด
    การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ อินฟราเรด หรือความร้อน (laser, infrared or bipolar photocoagulation) ทำให้หัวริดสีดวงแข็งและยุบลง วิธีนี้ใช้สำหรับรักษาริดสีดวงภายในที่มีขนาดเล็กและกลาง มีผลข้างเคียงน้อย แต่มีอัตราการกำเริบใหม่มากกว่าการใช้ยางรัด

7. ถ้าเป็นมาก มีภาวะแทรกซ้อน หรือรักษาด้วยยาและหัตถการต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล แพทย์ก็จะรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งมีให้เลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้

    การผ่าตัดเอาหัวริดสีดวงออก (hemorrhoidectomy) ซึ่งเป็นการผ่าตัดแบบดั้งเดิม โดยเลาะเอาเนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นริดสีดวงทวารออก วิธีนี้ให้ผลการรักษาดี มีโอกาสในการกลับมากำเริบใหม่น้อย แต่อาจมีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดภาวะปัสสาวะคั่ง (ถ่ายปัสสาวะไม่ออก) และการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้
    การผ่าตัดโดยใช้เครื่องมือเย็บติด (stapled hemorrhoidectomy/stapled hemorrhoidopexy) เป็นการใช้เครื่องมือคล้ายเครื่องยิงลวดทำการตัด เย็บ และผูกหัวริดสีดวง ปิดกั้นเลือดที่จะไปเลี้ยงบริเวณที่เป็นริดสีดวงทวาร ทำให้หัวริดสีดวงเกิดการฝ่อและหลุดไป วิธีนี้เหมาะสำหรับการรักษาริดสีดวงทวารภายในเท่านั้น วิธีนี้ทำให้เกิดการเจ็บปวดน้อยกว่า และฟื้นตัวได้เร็วกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม แต่มีความเสี่ยงต่อการกำเริบใหม่ และภาวะไส้ตรงยื่นย้อย (rectal prolapse) มากกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม และอาจเกิดผลแทรกซ้อน เช่น เลือดออก ปัสสาวะไม่ออก เกิดการติดเชื้อ เป็นต้น

ผลการรักษา ผู้ที่มีอาการเล็กน้อยซึ่งพบได้เป็นส่วนใหญ่ สามารถให้การรักษาตามอาการ ทำให้อาการทุเลาได้ แต่มีโอกาสกลับมากำเริบเป็นครั้งคราวเวลาท้องผูกหรือท้องเดิน

ในรายที่มีความจำเป็นต้องรักษาด้วยหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด (เช่น การใช้ยางรัด) มีโอกาสกำเริบใหม่ภายใน 5-10 ปี ถึงร้อยละ 30-50 ส่วนในรายที่รักษาด้วยการผ่าตัดมีโอกาสกำเริบใหม่น้อยกว่าร้อยละ 5


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ถ่ายอุจจาระออกเป็นเลือดสด มีอาการคันหรือเจ็บที่ทวารหนัก มีก้อนยื่นออกมาที่ปากทวารหนักตอนถ่ายอุจจาระ หรือคลำพบก้อนที่ปากทวารหนัก ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นริดสีดวงทวาร  ควรดูแลตนเองดังนี้

    รักษาและใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์
    เวลาถ่ายอุจจาระอย่านั่งนาน และไม่เบ่งแรง (ผ่อนแรงเบ่งด้วยการอ้าปากและค่อย ๆ หายใจออกทางปาก)
    ไม่นั่งนาน ๆ และไม่ยกของหนัก
    ถ้ามีอาการท้องผูก ควรปฏิบัติดังนี้

- ดื่มน้ำมาก ๆ วันละประมาณ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร) 
- กินอาหารที่มีกากใยสูง (ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง ธัญพืช) ให้มาก ๆ
- งดดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ท้องผูกได้
- ออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนัก (ภาวะน้ำหนักเกินมีผลต่อการกำเริบของโรค) และป้องกันท้องผูก
- ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาทุกวัน และอย่าอั้นถ่ายเวลามีอาการปวดถ่ายอุจจาระ
- กินสารเพิ่มกากใย และ/หรือยาระบายตามคำแนะนำของแพทย์

    ถ้าปวดริดสีดวงทวาร นั่งแช่น้ำอุ่น ใช้ยาแก้ปวด และใช้ยาเหน็บหรือยาทาริดสีดวงทวารตามคำแนะนำของแพทย์

ควรกลับไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีเลือดออกมาก มีภาวะซีด รู้สึกอ่อนเพลียมาก หรือเวลาลุกนั่งมีอาการหน้ามืดจะเป็นลม
    มีอาการปวดริดสีดวงมาก
    หัวริดสีดวงยื่นออกมาที่ปากทวารหนัก และไม่เลื่อนกลับเข้าไปได้เอง
    น้ำหนักลด ปวดท้องบ่อย ท้องผูกเรื้อรัง ท้องเดินเรื้อรัง หรือมีอาการท้องผูกสลับท้องเดิน
    มีอาการถ่ายเป็นเลือดนานเกิน 1 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีประวัติกินยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน โคลพิโดเกรล ) หรือสารกันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น วาร์ฟาริน)
    มีความวิตกกังวล
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปใช้ที่บ้าน ถ้าใช้ยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หน้ามืด หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ หรือช่วยป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ ควรระวังอย่าให้ท้องผูก และลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดอาการ ดังนี้

    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดน้ำหนักถ้าอ้วนหรือน้ำหนักเกิน
    กินอาหารที่มีกากใยมาก (เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง ธัญพืช) กรณีที่กินอาหารประเภทนี้ไม่มากพอ ให้กินสารเพิ่มกากใยเสริม 
    ดื่มน้ำมาก ๆ วันละประมาณ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร) 
    ออกกำลังกายเป็นประจำ 
    ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาทุกวัน และอย่าอั้นถ่ายเวลามีอาการปวดถ่ายอุจจาระ
    เวลาถ่ายอุจจาระอย่านั่งนาน (เช่น นั่งอ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์มือถือ) และไม่เบ่งแรง
    หลีกเลี่ยงการนั่งนาน ๆ และไม่ยกของหนัก

ข้อแนะนำ

1. อาการถ่ายเป็นเลือดแม้ว่าส่วนใหญ่จะเกิดจากแผลปริที่ขอบทวารหนักและริดสีดวงทวาร และสามารถให้การดูแลรักษาตนเองตามคำแนะนำของแพทย์ได้ แต่ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ร้ายแรงได้ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel disease) ดังนั้น ถ้ามีอาการผิดแปลกไปจากอาการริดสีดวงที่เคยเป็น หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมกับอาการถ่ายเป็นเลือด (เช่น มีเลือดออกมากหรือเรื้อรัง มีอาการอ่อนเพลีย ท้องเดินเรื้อรัง หรือน้ำหนักลด) หรือพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี หรือมีประวัติโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้ชัดเจน

2. ผู้ที่มีอาการถ่ายเป็นเลือดจากริดสีดวงทวาร ซึ่งมีอาการเล็กน้อย และมีอาการเป็นครั้งคราว อาจคิดว่าไม่เป็นอะไรมาก และอาจมีความอายที่จะไปพบแพทย์ จะลองรักษาตนเอง หรือปล่อยปละละเลย จะไปพบแพทย์ต่อเมื่อเกิดภาวะซีดจากการเสียเลือดเรื้อรัง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา หรือพบว่าเป็นโรคร้ายแรงอื่น ๆ ซึ่งมักมีความยุ่งยากในการรักษา ดังนั้นควรแนะนำให้คนทั่วไปมีความตระหนักรู้ในเรื่องอาการถ่ายเป็นเลือด และการดูแลรักษาที่ถูกต้อง

3. ผู้ที่มีประวัติกินยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน โคลพิโดเกรล) หรือสารกันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น วาร์ฟาริน) ซึ่งใช้รักษาและป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด หากมีอาการถ่ายเป็นเลือด อาจมีเลือดออกรุนแรงได้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อปรับยาให้เหมาะสม

13
การติดตั้งท่อลมร้อน ตามมาตรฐานที่กำหนด

การติดตั้งท่อลมร้อนตามมาตรฐานที่กำหนดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ลดการสิ้นเปลืองพลังงาน และเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมาย มาตรฐานเหล่านี้มักจะครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการทดสอบและบำรุงรักษา

ในประเทศไทย มาตรฐานหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งท่อลมร้อนจะอ้างอิงจากมาตรฐานสากล เช่น ASHRAE และ SMACNA รวมถึงกฎหมายและข้อบังคับภายในประเทศ

มาตรฐานสากลหลักที่ใช้อ้างอิง

SMACNA (Sheet Metal and Air Conditioning Contractors' National Association):

เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกในงานเกี่ยวกับท่อลม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับงานโลหะแผ่นและระบบ HVAC
ครอบคลุม:
การเลือกวัสดุ: กำหนดความหนาของแผ่นโลหะ (Gauge) ที่เหมาะสมสำหรับขนาดและรูปร่างของท่อลม และระดับแรงดัน (Duct Class)
วิธีการสร้างและประกอบท่อ: รายละเอียดเกี่ยวกับการพับ, การเชื่อม, การยึดด้วยสกรู/รีเวท, การซีลรอยต่อ เพื่อให้ท่อแข็งแรงและไม่รั่วไหล
การรองรับและยึดท่อ (Supports and Hangers): กำหนดประเภทของอุปกรณ์รองรับ, ระยะห่างระหว่างตัวรองรับ, และวิธีการติดตั้งที่เหมาะสมกับน้ำหนักของท่อและฉนวน เพื่อป้องกันการหย่อนตัวหรือการสั่นสะเทือน
การทดสอบการรั่วไหลของท่อ (Duct Leakage Testing): กำหนดวิธีการทดสอบและเกณฑ์การยอมรับปริมาณการรั่วไหลของอากาศ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อุปกรณ์ประกอบท่อ: ข้อกำหนดสำหรับการติดตั้งแดมเปอร์, ข้องอ, ข้อต่อเปลี่ยนขนาดท่อ (Transitions), และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อให้การไหลของอากาศเป็นไปอย่างราบรื่น

ASHRAE (American Society of Heating, Refrigerating and Air-Conditioning Engineers):

เป็นมาตรฐานที่เน้นการออกแบบและประสิทธิภาพของระบบ HVAC โดยรวม
ครอบคลุม:
การคำนวณขนาดท่อ: กำหนดวิธีการคำนวณขนาดท่อที่เหมาะสมกับปริมาณลมและความเร็วลม เพื่อลดการสูญเสียแรงดันและประหยัดพลังงาน
คุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ): มาตรฐาน ASHRAE 62.1 กำหนดปริมาณอากาศบริสุทธิ์ที่ต้องนำเข้ามาในอาคาร และวิธีการระบายอากาศเสีย
ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน: มาตรฐาน ASHRAE 90.1 กำหนดข้อกำหนดขั้นต่ำด้านประสิทธิภาพพลังงานสำหรับอาคาร ซึ่งรวมถึงการหุ้มฉนวนท่อลม
การออกแบบระบบควบคุม: เพื่อให้ระบบสามารถควบคุมอุณหภูมิและปริมาณลมได้อย่างแม่นยำ


NFPA (National Fire Protection Association):

เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยจากอัคคีภัย โดยเฉพาะ NFPA 96 (Standard for Ventilation Control and Fire Protection of Commercial Cooking Operations) ซึ่งสำคัญมากสำหรับท่อระบายควัน/ไอร้อนจากห้องครัวเชิงพาณิชย์

ครอบคลุม:
วัสดุและการก่อสร้างท่อระบายไขมัน: กำหนดให้ใช้เหล็กหรือสแตนเลสที่เชื่อมสนิท ป้องกันการรั่วไหลของไขมัน
ระยะห่างจากวัสดุติดไฟ (Clearances): กำหนดระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างท่อลมร้อน (โดยเฉพาะท่อระบายไขมัน) กับวัสดุที่ติดไฟได้ (Combustible Materials) เพื่อป้องกันการลุกลามของไฟ
การหุ้มฉนวนกันไฟ (Fire Rated Enclosures/Insulation): ข้อกำหนดในการหุ้มท่อด้วยวัสดุทนไฟในบางกรณี เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
ช่องเปิดสำหรับการทำความสะอาด (Access Panels): กำหนดให้มีช่องเปิดที่เหมาะสมเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบและทำความสะอาดไขมันสะสมในท่อ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของเพลิงไหม้ในครัว

ข้อพิจารณาและขั้นตอนการติดตั้งตามมาตรฐาน

การวางแผนและออกแบบ (Planning & Design):

ดำเนินการโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ (วิศวกรเครื่องกล) ที่มีใบอนุญาต
พิจารณาประเภทการใช้งาน, อุณหภูมิ, สารปนเปื้อน, แรงดัน, และสภาพแวดล้อม
คำนวณขนาดท่อ, ความเร็วลม, การสูญเสียแรงดัน
เลือกวัสดุท่อ (Galvanized Steel, Stainless Steel) และความหนา (Gauge) ตามมาตรฐาน SMACNA
ออกแบบเส้นทางท่อที่สั้นที่สุด ลดข้องอและจุดเปลี่ยนทิศทางที่ไม่จำเป็น
ออกแบบระบบรองรับและยึดท่อ (Supports and Hangers) ตามน้ำหนักและระยะห่างที่เหมาะสม


การผลิตท่อ (Duct Fabrication):

ผลิตท่อตามมาตรฐาน SMACNA ทั้งในด้านมิติ, ความหนา, และวิธีการต่อ/เชื่อม
สำหรับท่อเหลี่ยม ควรมีการเสริมแรง (Reinforcement) เพื่อป้องกันการโป่งพองหรือยุบตัว
สำหรับท่อกลม ควรเป็นแบบ Spiral Duct เพื่อความแข็งแรงและการไหลเวียนที่ดี


การติดตั้งท่อ (Duct Installation):

การเชื่อมต่อ: รอยต่อทั้งหมดต้องแน่นหนา ไม่รั่วไหล
สำหรับท่อเหล็กชุบสังกะสี: อาจใช้ระบบหน้าแปลน (Flanges) พร้อมปะเก็น หรือระบบต่อแบบสวมเข้าลิ้น (Slip and Drive) ร่วมกับยาแนวทนความร้อน หรือเทปปิดรอยต่อที่เหมาะสม
สำหรับท่อสแตนเลส (โดยเฉพาะท่อระบายไขมัน): นิยมใช้วิธี การเชื่อม (Welding) แบบต่อเนื่องตลอดแนวรอยต่อ เพื่อป้องกันการรั่วไหลของไขมันและควัน หรือใช้หน้าแปลนที่มีการซีลอย่างดี
การซีล (Sealing): รอยต่อทั้งหมดต้องได้รับการซีลด้วยยาแนว (Sealant) หรือเทป (Tape) ชนิดทนความร้อนสูง ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการไม่ลามไฟ
การติดตั้งจุดรองรับ (Supports and Hangers): ติดตั้งตามที่ออกแบบไว้ โดยต้องยึดเข้ากับโครงสร้างอาคารที่แข็งแรง มั่นคง ไม่สั่นสะเทือน และเผื่อระยะห่างสำหรับการขยายตัวของท่อ
การเผื่อการขยายตัว (Thermal Expansion): หากท่อมีความยาวมาก หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่รุนแรง ต้องติดตั้ง ข้อต่อขยาย (Expansion Joints) เพื่อรองรับการยืดหดของท่อ ป้องกันความเค้นสะสมที่อาจทำให้ท่อเสียหาย
ช่องเปิดสำหรับการบำรุงรักษา (Access Panels): ต้องติดตั้งช่องเปิดในจุดที่จำเป็น เช่น บริเวณเหนือหัวจ่าย, แดมเปอร์, หรือตามระยะที่กำหนด (โดยเฉพาะท่อระบายควันครัว) เพื่อให้สามารถเข้าถึงเพื่อตรวจสอบและทำความสะอาดได้


การติดตั้งฉนวนกันความร้อน (Insulation Installation):

วัสดุฉนวน: เลือกประเภทและคุณสมบัติของฉนวน (เช่น ใยแก้ว, Rock Wool) ให้เหมาะสมกับอุณหภูมิใช้งานและมาตรฐานการทนไฟ
ความหนา: ติดตั้งฉนวนตามความหนาที่คำนวณไว้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้านการประหยัดพลังงานและความปลอดภัย (อุณหภูมิผิวท่อ)
การหุ้ม: ฉนวนต้องถูกหุ้มอย่างทั่วถึง มิดชิด ปิดรอยต่อด้วยเทปหรือวัสดุปิดผิวที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมและการลามไฟ


การทดสอบและการปรับสมดุล (Testing, Adjusting, and Balancing - TAB):

ทดสอบการรั่วไหล (Duct Leakage Test): ดำเนินการตามมาตรฐาน SMACNA เพื่อตรวจสอบว่าระบบท่อลมมีอัตราการรั่วไหลไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด
ปรับสมดุลลม (Air Balancing): ปรับแดมเปอร์ในแต่ละท่อลมย่อยและปรับความเร็วพัดลม (ถ้ามี VFD) เพื่อให้ปริมาณลมร้อนที่จ่ายไปยังแต่ละจุดเป็นไปตามที่ออกแบบไว้
ตรวจสอบอุณหภูมิและแรงดัน: วัดค่าจริงที่จุดต่างๆ เพื่อยืนยันประสิทธิภาพของระบบ


การจัดทำเอกสารและบำรุงรักษา (Documentation & Maintenance):

จัดทำเอกสาร "As-Built Drawings" ที่แสดงการติดตั้งจริง
วางแผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกันอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการตรวจสอบรอยรั่ว, สภาพฉนวน, การทำความสะอาด (โดยเฉพาะท่อระบายไขมัน), และการตรวจสอบจุดยึด

การปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้ระบบท่อลมร้อนของคุณทำงานได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพสูงสุด และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ลดปัญหาจุกจิกและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาวได้เป็นอย่างดี.

14
บริการทำความสะอาด: บอแรกซ์ สารอันตรายที่ไม่ได้มีแต่โทษเท่านั้น !

แม้ใครต่อใครจะมองว่าสารบอแรกซ์เป็นตัวอันตราย !แต่หากให้แต่โทษคงไม่มีใครกล้าผลิตออกมาหรอกจริงไหม ?และนี่ก็คือด้านดีๆ ของสารบอแรกซ์ ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์มากทีเดียวถ้านำไปใช้ให้ถูกทาง สารบอแรกซ์อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายถึงขั้นเสียชีวิตหากเรากินเข้าไป !

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่โทษด้านเดียว เพราะทุกอย่างย่อมมี 2 ด้านเสมอเช่นเดียวกับสารบอแรกซ์หากนำไปใช้อย่างเหมาะสมด้วยวิธีที่ถูกต้อง
ก็สร้างประโยชน์ให้กับเรามากมายเลยล่ะ อย่างน้อยๆ ก็ช่วย ทำความสะอาดให้คราบสกปรกที่ติดในบ้านกระเจิดกระเจิงด้วยวิธีที่เรานำมาฝากกัน…


15  วิธีกำจัดคราบสกปรกต่างๆ ด้วยสารบอแรกซ์

1.    กำจัดคราบกรังในโถส้วม

ลืมกันไปได้เลย กับน้ำยาเคมีทำความสะอาดสุขภัณฑ์ เพราะกลิ่นเหม็นๆ จะทำให้ปวดหัวเสียเปล่าๆ แค่ใส่บอแรกซ์ลงในโถส้วม 1 ถ้วยตวง แล้วทิ้งไว้ข้ามคืน ในระหว่างที่คุณนอนหลับ บอแรกซ์ก็จะกัดกร่อนคราบจนอ่อนปวกเปียก หลังตื่นนอนก็เอาแปรงขัดเบา ๆ คราบเกอะกรังทั้งหลายก็จะสลายตัวออกอย่างรวดเร็ว


2.    เปลี่ยนตู้เย็นเยิน ๆ ให้กลับมาใหม่อีกครั้ง

แม้ตู้เย็นจะมีสภาพภายนอกที่เหมือนใหม่ แต่บางทีข้างในอาจจะเยินเพราะคราบสกปรกจากอาหารที่แช่ไปแล้วก็ได้ ให้แก้ด้วยการผสมบอแรกซ์ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่น แล้วคนจนส่วนผสมเข้ากันดี นำฟองน้ำชุบน้ำยาที่ผสมไว้แล้วนำไปเช็ดตู้เย็นทั้งด้านนอกและด้านในให้ทั่ว


3.    ล้างคราบเก่าบนผิวอะลูมิเนียมให้หายวับ

รู้ ๆ กันอยู่ว่าต้องระวังเรื่องการทำความสะอาดอะลูมิเนียมเป็นพิเศษ เพราะถูกอะไรข่วนนิดข่วนหน่อยก็เป็นรอยที่หาทางแก้ได้ยาก หากต้องการเปลี่ยนสภาพให้ดูใหม่ก็ไม่ต้องพึ่งน้ำยาเคมีให้แสบมือ แค่โรยผงบอแรกซ์ลงบนผิวอะลูมิเนียมตรงบริเวณที่มีคราบ จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆค่อยๆ ขัดออกแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดตามอีกครั้ง


4.    กัดคราบสนิมไม่เหลือซาก

ถ้าหาทางแก้คราบสนิมมาร้อยแปดวิธีแล้วยังไม่ได้ผล แนะนำให้ลองใช้ผงบอแรกซ์ผสมกับน้ำมะนาวเทราดลงบนคราบสนิมแล้วทิ้งไว้สักครู่ รับรองว่าคราบสกปรกหลุดร่อนออกอย่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเลยล่ะ


5.    ชี้ทางสะอาดให้อ่างล้างจาน

อ่างล้างหน้าที่ใช้งานมาเนิ่นนานอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าตัวเองเคยแวววาวขนาดไหน ฉะนั้นเราต้องชี้ทางสะอาดด้วยการผสมผงบอแรกซ์ 1 ถ้วยตวงต่อน้ำมะนาว ½ ถ้วยตวงแล้วราดตามด้วยน้ำอุ่นจนสะอาดเกลี้ยง


6.    บอกลาสิ่งสกปรกและกลิ่นอับท่อน้ำทิ้ง

ไม่ต้องรอให้จมูกได้กลิ่นเพี้ยน ๆ จากท่อน้ำทิ้งแล้วค่อยแก้ปัญหา เพราะเราสามารถนำผงบอแรกซ์ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ไปโรยไว้ที่ปากท่อน้ำทิ้งอ่างล้างจานหรือปากท่อน้ำทิ้งใหญ่ ปล่อยไว้ 1 ชั่วโมง แล้วค่อยเทน้ำอุ่นล้างทำความสะอาดอีกครั้ง


7.    แก้ไขที่นอนเปียกและดับกลิ่นฉี่ในเวลาสั้น ๆ

หากที่นอนนุ่ม ๆ ของเราต้องเผชิญกับปัญหาเปียกชื้นและกลิ่นอับไม่พึงประสงค์ แนะนำให้โรยด้วยผงบอแรกซ์แล้วใช้ผ้าชุดน้ำถูบริเวณที่มีคราบ จากนั้นทิ้งไว้จนกว่าที่นอนจะแห้งสนิท แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดตามอีกครั้ง


8.    ดับกลิ่นของเสียจากถังขยะปรับบรรยากาศในบ้าน

หลังจากการนำขยะออกไปทิ้งนอกบ้านให้ราดทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าผสมบอแรกซ์ จากนั้นเช็ดให้แห้งแล้วโรยผงบอแรกซ์ด้านในถังก่อนรองด้วยถุงพลาสติกอีกครั้ง เพื่อป้องกันแมลง ความชื้น และกลิ่นอับ


9.    กำจัดวัชพืชในที่ที่ไม่ควรขึ้น

ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมอยู่ ๆ วัชพืชถึงโผล่ขึ้นมาตามซอกคอนกรีตได้ เพราะควรจะรีบแก้ปัญหาด้วยการใช้ผงบอแรกซ์ไปบนวัชพืชเหล่านั้น แต่ต้องระวังไม่ให้กระเด็นไปโดนต้นไม้อื่น ๆ ในสวน เท่านี้เจ้าวัชพืชก็ตายแบบถอนรากถอนโคน


10.    ฆ่าเชื้อราให้ตายสนิท

แทบอยากร้องไห้เมื่อเห็นเชื้อรากำลังเกาะกินของใช้หรือแฝงตัวอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน ไม่ต้องเศร้าไปเพราะแค่นำผงบอแรกซ์มาผสมกับน้ำเปล่าให้เป็นเนื้อเหนียวข้น แล้วป้ายตามจุดเชื้อรา ทิ้งไว้ค้างคืน เท่านี้เชื้อราน่าเกลียด ๆ ก็จะหายไปและไม่กลับมาอีกเลย


11.    ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าได้อย่างหมดจด

ไม่ได้มีแค่น้ำส้มสายชูเท่านั้นนะที่ทำให้เครื่องซักผ้าสะอาด เพราะอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้เครื่องซักผ้าสะอาดได้อย่างหมดจดได้ไม่แพ้กัน แค่เทผงบอแรกซ์ลงในช่องใส่ผงซักฟอกแล้วให้เครื่องทำงานไปตามปกติ


12.    ทำความสะอาดกรงและตะกร้าสัตว์เลี้ยงแบบปลอดเชื้อ

บ้านไหนที่มีสัตว์เลี้ยงต้องดูแลเรื่องของความสะอาดอย่างเข้มงวด อย่าปล่อยให้สิ่งสกปรกและเชื้อโรคร้ายมาทำลายสุขภาพของสัตว์เลี้ยง ด้วยการผสมผงบอแรกซ์ 1 ถ้วยกับน้ำเปล่า 2 ½ ถ้วยตวง ลงในขวดสเปรย์เพื่อนำไปฉีดพ่นกรงและตะกร้าก่อนจะใช้น้ำเปล่าล้างตามอีกรอบ


13    กำจัดคราบน้ำด่าง ๆ บนแก้วให้กลับมาใสปิ๊ง

ถ้าการล้างด้วยน้ำยาล้างจานธรรมดาไม่ได้ผล แนะนำให้ลองผสมผงบอแรกซ์กับน้ำยาล้างจาน คนส่วนผสมให้เข้ากันแล้วนำไปขัดล้าง แล้วแก้วที่เคยเปรอะคราบน้ำก็จะกลับมาใสแจ๋วเหมือนเดิม


14.    ทำเหยื่อล่อมดเพื่อคนในครอบครัว

ไม่จำเป็นจะต้องจ้างช่างมาปราบมดแมลงในบ้านให้สิ้นเปลือง เพราะเราก็ลงมือทำเหยื่อล่อเองได้ โดยผสมผงบอแรกซ์ 2 ช้อนชากับเนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ แล้วไว้ในกระป๋องเปิดฝา นำไปวางตามทางเดินมดเพื่อล่อให้มันมารวมตัวกันก่อนนำไปกำจัดให้เรียบร้อย


15.    ยืดอายุไส้เทียนให้ใช้งานได้นานกว่าเดิม

หากใครที่ต้องทำเทียนไขใช้เองต้องดูข้อนี้ไว้ให้ดี ๆ เพราะนี่คือวิธีที่จะยืดเวลาไส้เทียนให้ยังคงใช้งานได้ยาวนาน ก่อนอื่นเราต้องนำผงบอแรกซ์ 3 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ  และน้ำต้มสุก 1 ถ้วยมาผสมกันก่อน แล้วแช่ไส้เทียนทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนนำไปตากให้แห้งแล้วชุบในน้ำเทียนอีกครั้ง เท่านี้ไส้เทียนของเราก็จะเปล่งแสงอบอุ่นสุดโรแมนติกได้อีกนานแสนนานเลยล่ะ

เห็นไหมว่าผงบอแรกซ์ไม่ได้มีแต่ด้านลบเพียงด้านเดียวแต่ถ้าคุณเปิดใจและลองเอาเคล็ดลับวิธีการใช้บอแรกซ์ให้เกิดประโยชน์กับบ้านอย่างที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปใช้กันเผลอ ๆ คุณอาจจะตกหลุมรักบอแรกซ์ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะคะ

15
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบก ารณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


หน้า: [1] 2 3 ... 67